วันที่ 7 ต.ค. อินโดนีเซียได้ยุติการค้นหาผู้ประสบภัยที่ติดอยู่ใต้ซากปรักหักพังของอาคารโรงเรียนอิสลามอัลโคซินี โรงเรียนประจำอิสลามในจังหวัดชวาตะวันออก หลังจากกู้ร่างผู้เสียชีวิตได้มากกว่า 60 ราย
หน่วยงานบรรเทาสาธารณภัยระบุในแถลงการณ์ว่า พบศพ 67 ศพในอาคาร และชิ้นส่วนร่างกายอีก 8 ชิ้นที่ตำรวจกำลังพยายามระบุตัวตน และย้ำว่า นี่เป็นภัยพิบัติที่ร้ายแรงที่สุดของอินโดนีเซียในปีนี้
โมฮัมหมัด ไซอาฟี หัวหน้าหน่วยงานค้นหาและกู้ภัย กล่าวหลังจากที่เจ้าหน้าที่ได้เคลียร์เศษซากอาคารออกไปแล้วว่า “ปฏิบัติการกู้ภัยเหตุโครงสร้างโรงเรียนอัลโคซินีพังถล่มลงมา ปิดฉากอย่างเป็นทางการแล้ว”
ยูดิ บรามันตโย ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการของหน่วยงานฯ กล่าวว่า ณ วันที่ 7 ต.ค. หน่วยกู้ภัยได้เคลียร์เศษซากอาคารทั้งหมดออกจากพื้นที่ถล่ม ค้นหาพื้นที่ และสรุปว่าไม่น่าจะพบศพเพิ่มเติมอีกแล้ว
“จำนวนเหยื่อที่มีทั้งหมด 171 ราย โดยเสียชีวิต 67 ราย รวมถึงชิ้นส่วนร่างกาย 8 ชิ้น และมีผู้รอดชีวิต 104 ราย” ยูดิกล่าว
หน่วยกู้ภัยได้ใช้รถขุดและเครนยกคอนกรีตขนาดใหญ่ พวกเขาขุดอุโมงค์และตะโกนชื่อผู้เสียชีวิตที่คาดว่ายังมีชีวิตอยู่
โรงเรียนอัลโคซินีเป็นโรงเรียนประจำอิสลามแบบดั้งเดิมในอินโดนีเซียที่รู้จักกันในชื่อเปซันเตรน โดยมีเพียง 50 แห่งเท่านั้นที่ได้รับใบอนุญาตก่อสร้าง
ตำรวจกล่าวหาว่า อาคารที่ถล่มลงมาเป็นอาคาร 2 ชั้น แต่มีการต่อเติมโดยไม่ได้รับอนุญาต ทำให้โครงสร้างอาคารพังเสียหาย
เหตุการณ์นี้ก่อให้เกิดความโกรธแค้นอย่างกว้างขวางเกี่ยวกับการก่อสร้างที่ผิดกฎหมายในอินโดนีเซีย
กฎหมายการก่อสร้างอาคารของอินโดนีเซีย 2002 ระบุว่า ต้องได้รับใบอนุญาตจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก่อนดำเนินการก่อสร้างใด ๆ มิฉะนั้นเจ้าของอาคารอาจต้องเสียค่าปรับและจำคุก หากการฝ่าฝืนเป็นเหตุให้เสียชีวิต อาจต้องโทษจำคุกสูงสุด 15 ปี และปรับสูงสุด 8,000 ล้านรูเปียห์ (ราว 15.7 ล้านบาท)
เรียบเรียงจาก The Guardian