AIS ร่วมกับ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และ กสทช. แถลงข่าว รวมพลังเครือข่ายปลอดภัย ขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ "ปีแห่งความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์” ประกาศความร่วมมือขับเคลื่อนด้านความปลอดภัยไซเบอร์ในปี 2568 พร้อมเชิญชวนหน่วยงานทุกภาคส่วนกว่า 100 องค์กร ร่วมตัดวงจรมิจฉาชีพตั้งแต่ต้นทาง ตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลเพื่อปกป้องประชาชนจากภัยทางเทคโนโลยี ซึ่งส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศ
นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในนามประธานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) กล่าวว่า จากรายงานความเสี่ยงโลก (Global Risks Reports) ประจำปี 2025 โดย World Economic Forum 2025 พบว่าความเสี่ยงด้านการบิดเบือนและข่าวกรอง เป็นความเสี่ยงที่มีมากที่สุดอันดับ 1 ในโลก รวมถึงความเสี่ยงด้านโจรกรรมไซเบอร์ เป็นความเสี่ยงอันดับ 5 ของโลก ความเสี่ยงทั้งสองเรื่องจะเป็นภัยคุกคามที่เราต้องเจออย่างต่อเนื่องไปอีกถึง 10 ปีข้างหน้า และจากการประเมินของ TCI ประเทศไทยได้ 99.22 จาก 100 คะแนน จัดอยู่ในกลุ่มประเทศเทียร์ 1 จาก 144 ประเทศ นับเป็นประเทศอันดับ 7 ของโลกที่มีความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์
การจัดการภัยไซเบอร์ จะให้รัฐทำหน้าที่อย่างเดียวไม่ได้ เอกชนมีความพร้อมก็ต้องร่วมมือกัน รวมถึงพี่น้องประชาชนทุกส่วนก็ต้องร่วมมือกัน ถ้าเรายิ่งเข้มแข็ง ก็จะสามารถบีบการกระทำหลาย ๆ อย่างของเหล่าอาชญากรได้ เช่น จากการไปดูงานที่จีนตอนล่าง สามารถจับได้ว่าอาชญากรรมเกิดขึ้นที่ไหน สาวไปตรงจุดไหน จัดการได้หมด หรือในส่วนของกัมพูชา ลาว เมียนมา มาเลเซีย มีการประสานงานร่วมกันทั้งหมด เราจะไม่แตะต้องเรื่องของการพนันของประเทศเหล่านี้ แต่สิ่งที่ยอมไม่ได้เลยคือ ความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์
นายภูมิธรรม กล่าวต่อว่า อาชญากรมองว่า ภัยไซเบอร์ยังมีความเสี่ยงถูกจัดการน้อยกว่ายาเสพติด มีการแปรรูปเปลี่ยนไปเป็นอุปกรณ์เคลื่อนที่ ยานพาหนะเคลื่อนที่ จึงต้องพยายามเรียนรู้เพื่อขยับตามให้ทัน ก่อนหน้านี้มีการใช้กำลังทหารเพื่อคอยระวังรักษาชายแดน แต่ปัจจุบันมีการใช้โดรน จึงได้กำชับให้พัฒนาการป้องกัน ใช้โดรน เพื่อลดจำนวนคน เป็นต้น
ฐบาลภายใต้นายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ตระหนักถึงความสำคัญในการรับมือภัยไซเบอร์ โดยเฉพาะแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่สร้างความเสียหายต่อประชาชน ที่ผ่านมาสภาความมั่นคงแห่งชาติ ได้เดินหน้าทำงานเชิงรุกผ่าน 3 แกนหลัก ทั้งการกำหนดและพัฒนากฎหมาย สร้างความร่วมมือและประสานงานระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ และการยกระดับความมั่นคงระดับประเทศ
โดยมีเป้าหมายเพื่อเร่งปราบปรามยาเสพติด อาชญากรรมข้ามชาติ และขจัดแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ผ่านการดำเนินการทั้งในเชิงนโยบาย เชิงปฏิบัติ และความร่วมมือระหว่างประเทศ ภายใต้ปฏิบัติการ "Seal Stop Safe" ตลอดจนมาตรการซีลชายแดน เช่น จังหวัดตาก ตัดวงจรแก๊งคอลเซ็นเตอร์, การแก้ไขกฎหมายควบคุมบัญชีม้า-ซิมม้า รวมถึงบูรณาการการทำงานร่วมกับองค์กรภาครัฐอย่าง กสทช., ธนาคารแห่งประเทศไทย, ปปง. และกระทรวงดิจิทัลฯ รวมถึงภาคเอกชน ธนาคาร บริษัทโทรคมนาคม และแพลตฟอร์มดิจิทัล
รัฐบาลยังคงเดินหน้ายกระดับนโยบายความปลอดภัยทางไซเบอร์สู่วาระแห่งชาติ และบูรณาการกับทุกหน่วยงาน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน เพื่อร่วมสร้างสังคมดิจิทัลที่ปลอดภัย ซึ่งเป็นภารกิจร่วมของทุก ๆ คนในประเทศ เช่น มาตรการตรวจจับซิมม้า และดึงธนาคารเข้ามามีส่วนรับผิดชอบด้วย
นายภูมิธรรม กล่าวทิ้งท้ายว่า ภารกิจนี้ไม่เป็นเป็นภารกิจของฝ่ายความมั่นคงเท่านั้น แต่เป็นเรื่องที่ทุกคนต้องให้ความร่วมมือ ไม่ว่าจะเป็นภายในประเทศหรือระหว่างประเทศ ได้ร่วมมือกันผลักดันปีแห่งความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ให้เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ในการสร้างประเทศไทยที่ปลอดภัยในโลกดิจิทัลอย่างแท้จริง
ด้าน พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ผบช.บก.สอท.) กล่าวว่า วันนี้สังคมไทยกำลังเผชิญกับปัญหาอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือภัยไซเบอร์ที่ถูกพัฒนาโดยกลุ่มมิจฉาชีพในหลายรูปแบบและทวีความรุนแรงมากขึ้น นำมาซึ่งความสูญเสียทั้งด้านข้อมูลส่วนบุคคลและทรัพย์สินเป็นมูลค่ามหาศาล
พล.ต.ท.ไตรรงค์ เผยว่า จากสถิติการแจ้งความออนไลน์สะสมตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2565 - 30 เมษายน 2568 มีคดีออนไลน์ 887,315 เรื่อง รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 8.9 หมื่นล้านบาท เฉลี่ยความเสียหาย 77 ล้านบาทต่อวัน ไม่ว่าจะเป็นการถูกหลอกให้โอนเงินผ่านแอปพลิเคชันปลอม ถูกดูดเงินจากบัญชีโดยไม่รู้ตัว หรือแม้แต่ถูกล้วงข้อมูลส่วนตัวไปใช้ในทางมิชอบ จึงมีความจำเป็นต้องยกระดับมาตรการป้องกันและแก้ไขในทุกมิติ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนโดยเร็ว
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ดำเนินการเชิงรุก ทั้งในด้านการป้องกัน ปราบปราม และพัฒนาโครงสร้างการทำงานให้สอดรับกับพฤติกรรมอาชญากรรมยุคใหม่ ซึ่งได้จัดตั้งศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ หรือ ศปอส.ตร. เพื่อรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ และเปิดปฏิบัติการเชิงรุก พร้อมใช้เทคโนโลยี AI และระบบวิเคราะห์ธุรกรรม เพื่อติดตามเส้นทางการเงินของขบวนการอาชญากรเหล่านี้
พล.ต.ท.ไตรรงค์ กล่าวต่อว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยังได้ร่วมมือกับภาคีเครือข่าย รวมถึงผู้ให้บริการเครือข่ายอย่าง AIS เพื่อเชื่อมโยงการทำงานร่วมกันและขยายผลสู่การจับกุมผู้กระทำความผิดอย่างต่อเนื่อง โดยเชื่อมั่นว่าการยกระดับความร่วมมือสู่ปีแห่งความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ในครั้งนี้ จะเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนสังคมไทยให้ปลอดภัยจากภัยไซเบอร์อย่างยั่งยืน
ขณะที่ นายสมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร AIS กล่าวว่า AIS ในฐานะผู้ให้บริการดิจิทัลที่มีบทบาทสำคัญในการเชื่อมโยงผู้ใช้งานสู่โลกออนไลน์ เรามุ่งมั่นเดินหน้าสร้างภูมิคุ้มกันทางไซเบอร์และทักษะออนไลน์อย่าง ต่อเนื่อง ภายใต้ภารกิจ "Cyber Wellness for THAIs" เพื่อเสริมสร้างการใช้งานที่ปลอดภัย
ทั้งการปฏิบัติตามมาตรการของหน่วยงานภาครัฐ ควบคุมระดับเสาสัญญาณมือถือในพื้นที่ชายแดน ปฏิบัติการร่วมกับตำรวจลงพื้นที่ปราบปรามมิจฉาชีพและแก๊งคอลเซ็นเตอร์ พัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อเสริมความปลอดภัยไซเบอร์ อาทิ บริการสายด่วน 1185 AIS Spam Report Center และ บริการ *1185# แจ้งอุ่นใจ ตัดสายโจร รวมถึงการสร้างภูมิคุ้มกันและพัฒนาทักษะดิจิทัลให้ประชาชน ผ่านหลักสูตรอุ่นใจไซเบอร์ และการสร้างตัวชี้วัดสุขภาวะด้านดิจิทัล
โดย AIS มีโครงการ อุ่นใจไซเบอร์ มาตั้งแต่ปี 2562 เพื่อให้คนไทยได้เรียนรู้ด้านการใช้ดิจิทัลอย่างชาญฉลาด มีความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยในสิงคโปร์ ในการทำแบบสอบถามเกี่ยวกับหลักสูตรความปลอดภัยไซเบอร์ หลังจากผ่านไป 2 ปีพบว่าหลักสูตรของต่างประเทศอาจไม่สอดคล้องกับไทย จึงได้มีหลักสูตรเฉพาะโดยร่วมมือกับมหาวิทยาลัยชั้นนำในไทย พัฒนาหลักสูตรเพิ่มเติมขึ้นมา โดยมีผู้เข้าอบรมแล้วจนถึงตอนนี้ประมาณ 500,000 คน โดยตั้งเป้าว่าต่อไปจะไปให้ถึง 3,000,000 คน
นายสมชัย กล่าวต่อว่า การสร้างความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ไม่ใช่หน้าที่ขององค์กรใดองค์กรหนึ่ง แต่เป็นความรับผิดชอบร่วมกันของทุกฝ่าย ความร่วมมือภายใต้ภารกิจ “ปีแห่งความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์” ในครั้งนี้เป็นการรวมพลังจากทุกภาคส่วน ภายใต้โมเดล 3 ประสาน ได้แก่
- เรียนรู้ (Educate) สร้างความเข้าใจและทักษะในการป้องกันภัยไซเบอร์ให้กับเครือข่ายทั้ง Ecosystem เพื่อยับยั้งปัญหาดังกล่าวตั้งแต่ต้นทาง
- ร่วมแรง (Collaborate) ผนึกกำลังกับพาร์ทเนอร์ทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อร่วมสื่อสารและสร้างแรงขับเคลื่อนสังคม
- เร่งมือ (Motivate) รณรงค์ให้ทุกภาคส่วนขับเคลื่อนกฎระเบียบ หรือกติกา แก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นลังคมดิจิทัลที่มั่นคงและปลอดภัยอย่างยังยืน
นายสมชัย กล่าวทิ้งท้ายว่า ขอขอบคุณทุกท่านที่ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของก้าวสำคัญในวันนี้ เราเชื่อมั่นใจว่าเมื่อทุกภาคส่วนมีความรู้ ความเข้าใจ และจุดมุ่งหมายร่วมกัน จะนำไปสู่การสร้างสังคมดิจิทัลที่มีคุณภาพและปลอดภัยในทุกมิติ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเราจะได้เดินหน้าร่วมกันต่อไป เพื่ออนาคตที่ปลอดภัยของประชาชนคนไทยทุกคน