การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ที่ก่อโรคโควิด-19 ทำให้ผู้คนทั่วโลกต้องเปลี่ยนแปลงวิธีการใช้ชีวิตในแต่ละวัน จนเกิดเป็น “New Normal” หรือ “ความปกติแบบใหม่”
36ข่าวแห่งปี : วัคซีนโควิด-19 กับสงครามที่ยังไม่สิ้นสุด
36ข่าวแห่งปี : สารพัดมาตรการเยียวยาฝ่า โควิด-19
7 New Normal ที่อาจได้เห็นในสังคมไทยในวันที่ โควิด-19 หายไป
36ข่าวแห่งปี : จากไวรัสปริศนา สู่ โควิด-19 ไวรัสเปลี่ยนโลก
New Normal หมายถึง สถานการณ์ พฤติกรรม การปฏิบัติต่าง ๆ ที่เราไม่คุ้นเคย หรือเคยเป็นสิ่งที่ผิดปกติก่อนหน้านี้แต่กลายมาเป็นมาตรฐานปกติ หรือเรื่องธรรมดาในปัจจุบัน โดยในปี 2563 ที่ผ่านมา การเปลี่ยนไปของพฤติกรรมและวัฒนธรรมบางอย่างในช่วงโควิด-19 ของผู้คนทั่วโลกก็ทำให้เกิดคำ ๆ นี้ขึ้นมา
หน้ากากอนามัย-เจลแอลกอฮอล์-เว้นระยะห่าง อาวุธรับมือโควิด-19
หลังเกิดการระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้มีการเผยแพร่แนวทางการป้องกันออกมา นั่นคือการสวมใส่หน้ากากอนามัย พกพาเจลแอลกอฮอล์และหมั่นทำความสะอาดมือบ่อย ๆ รวมถึงการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing)
ส่งผลให้ปรากฏภาพผู้คนพากันสวมใส่หน้ากากอนามัยกับในเกือบทุกพื้นที่ทั่วมุมโลก ทั้งที่ก่อนหน้านี้ผู้ที่ใส่หน้ากากอนามัยมักเป็นผู้ที่ประกอบอาชีพซึ่งต้องป้องกันตัวเอง หรือผู้ต้องการป้องกันฝุ่น PM 2.5 เท่านั้น
ขณะที่เจลแอลกอฮอล์ก็กลายเป็นของที่ต้องพกอยู่ในกระเป๋าของทุกคน ไม่ใช่เรื่องแปลกอีกต่อไปที่จะเห็นคนที่ลงจากรถเมล์ เรือเมล์ รถไฟฟ้า หรือเข้าออกจากสถานที่ต่าง ๆ ก็จะคว้าหลอดเจลเล็ก ๆ มาบีบใส่มือแล้วทำความสะอาดมืออย่างสม่ำเสมอ
ส่วนการเว้นระยะห่าง จะพลว่าสถานที่ต่าง ๆ ยังคงรณรงค์ให้มีการเว้นระยะห่างทางสังคมกันอยู่ โดยเฉพาะในที่ ๆ มีพื้นที่จำกัด เช่น ลิฟต์ ขนส่งสาธารณะ และหากเบียดชิดใกล้กันมากเกินไป ก็จะมีอาการมองแรงใส่กันทันที
และแม้ในช่วงที่ผ่านมาซึ่งการระบาดของโควิด-19 ทุเลาลงไปพักใหญ่ ก็ยังคงเห็นผู้คนปฏิบัติตนเหมือนมีโรคระบาดอยู่อย่างนั้น จนกลายเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้ว และกลับกลายเป็นว่าหากพบคนที่ไม่ใส่หน้ากากอนามัย หรืออยู่ใกล้ชิดกันในสถานที่คับแคบ นั่นจะเป็นเรื่องที่ผิดปกติทันที
การทำงานและเรียนออนไลน์
ในช่วงที่โควิด-19 ระบาด หลายองค์กรหรือสถาบันต่างประกาศให้มีการ Work From Home หรือการทำงานทางไกลจากที่บ้าน รวมถึงการเรียนออนไลน์ เพื่อลดการเดินทาง ซึ่งอาจเพิ่มโอกาสแพร่และติดเชื้อโควิด-19
ซึ่งนอกจากลดความเสี่ยงแพร่ระบาดโควิด-19 แล้ว หลายองค์กรยังเกิดรู้แจ้งว่า “ทำงานที่บ้านก็ได้นี่หว่า” ขึ้นมา โดยจำนวนงานที่ได้เท่าเดิม (หรือมากขึ้นในบางองค์กร) ทั้งที่ต้นทุนการจัดการพื้นที่ในออฟฟิศหรือสถานที่ทำงานลดลง ทำให้หลายองค์กรตัดสินใจปรับตัวเป็น Work From Home เต็มรูปแบบ แม้แต่บริษัทแพลตฟอร์มสื่อสารระดับโลกอย่างทวิตเตอร์สาขาในสหรัฐฯ ก็ประกาศว่าแม้โควิด-19 สิ้นสุดลงก็จะยังคงให้พักงานทำงานที่บ้านต่อไป
ทั้งนี้ การทำงานจากที่บ้านก็มีข้อเสียของมันอยู่ โดยเส้นแบ่งการเข้า-ออกงานที่หายไปก็ทำให้หลายคนพบปัญหาว่า “ออฟฟิศใช้งานไม่หยุดเลย” ดังนั้นหากไม่จัดสรรเวลาให้ดี หรือองค์กรหน้าเลือดเกินไป ก็อาจเกิดภาวะเครียดสะสมได้ รวมถึงอาจขาดปฏิสัมพันธ์ทางสังคมกับคนอื่น ๆ เพราะไม่สามารถพบปะสังสรรค์กันได้
ขณะที่การเรียนออนไลน์เองก็สร้างภาระให้กับเด็กและผู้ปกครองไม่น้อย ไม่ว่าจะภาระค่าใช้จ่าย ค่าไฟ ค่าอินเทอร์เน็ต ค่าอุปกรณ์การเรียนทางไกล รวมถึงการต้องเจียดเวลามาดูแลบุตรหลานให้ตั้งใจเรียน ก็ส่งผลให้ความเหลื่อมล้ำชัดเจนมากขึ้น ทั้งในไทย รวมถึงในต่างประเทศ เช่น ประเทศแถบแอฟริกาที่ความเหลื่อมล้ำทางฐานะ ชนชั้น และการศึกษา มีอยู่สูง
พฤติกรรมการบริโภคเปลี่ยนไป
จาก New Normal ในข้อก่อนหน้าที่ผู้คนต้องอยู่บ้านกันมากขึ้น ทำให้หลายคนมีปัญหาในการซื้อสินค้า อาหาร จากที่ได้เดินไปกินเมนูที่ร้านโปรด ได้ไปซื้อของที่ร้านประจำ ก็ไม่สามารถออกไปได้
ด้วยเหตุนี้ “ฟู้ดเดลิเวอรี” และ “ซื้อของออนไลน์” จึงกลายเป็นเทรนด์แห่งปี 2563 เลยทีเดียว เฉพาะในไทย ยอดการใช้บริการเดลิเวอรีของบริการขนส่งอาหารแห่งหนึ่งช่วงโควิด-19 เพิ่มขึ้นจากภาวะปกติถึง 3 เท่า
นอกจากนี้ ประเด็นเรื่องที่เชื้อโควิด-19 สามารถมีชีวิตอยู่ได้นานบนธนบัตรต่าง ๆ ก็ทำให้การทำธุรกรรมออนไลน์เติบโตสูงขึ้นเช่นกัน ทุกวันนี้การโอนเงินต่าง ๆ ผ่านแอปพลิเคชันไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป และเมื่อมีครั้งที่ 1 ก็ย่อมต้องมีครั้งต่อ ๆ ไป และหลังได้รับความสะดวกสบายรวดเร็ว ไม่ต้องหยิบจับเงินจากมือคนอื่นที่อาจปนเปื้อนโควิด-19 ไม่ต้องต่อคิวในธนาคาร จึงไม่น่าแปลกใจ ที่หลังจากนี้ การทำธุรกรรมออนไลน์จะกลายเป็นหนึ่งใน New Normal ที่จะไม่มีวันหายไปอย่างแน่นอน
จากดูภาพยนตร์ในโรง ก็ดูในจอมือถือแทน
การเข้ามาของโควิด-19 สร้างผลกระทบแสนสาหัสต่ออุตสาหกรรมภาพยนตร์อย่างมาก เพราะโรงภาพยนตร์ถูกสั่งปิดทำการ กองถ่ายไม่สามารถ่ายทำได้ ในขณะเดียวกัน ผู้คนยังต้องการความบันเทิงอยู่ในช่วงที่ความเครียดก่อตัวขึ้นได้ง่ายดาย
ด้วยเหตุนี้ บริการแพลตฟอร์มรับชมภาพยนตร์ ซีรีส์ ที่อยู่ในแอปพลิเคชันโทรศัพท์มือถือ หรือเว็บไซต์ในอินเทอร์เน็ต จึงเป็นทางเลือกใหม่ จนตลาดบริการสตรีมมิ่งโตขึ้นอย่างมาก
ตัวอย่างเช่น ในช่วงเวลาระหว่างเดือน ม.ค.-มี.ค. 2563 ที่โควิด-19 แพร่ระบาด เน็ตฟลิกซ์ (Netflix) บริการสตรีมมิ่งที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีลูกค้าใหม่ (ที่เสียค่าบริการรายเดือน) เพิ่มขึ้นมาถึง 15.8 ล้านคน ทำให้มีจำนวนผู้ใช้บริการเน็ตฟลิกซ์ทั่วโลกถึง 182.9 ล้านคน
และเช่นเดียวกับการซื้อของออนไลน์ เมื่อได้ลิ้มลองสักครั้งหนึ่งในความง่ายดาย สะดวกสบาย ผู้ชมก็จะติดอยู่ในวังวนนั้นอย่างยากจะถอนตัว แน่นอนว่าผู้ให้บริการสตรีมมิ่งเหล่านี้ก็มองเห็นโอกาสสำคัญ เร่งผลิตคอนเทนต์น่าสนใจออกมาให้ดูกันไม่หวาดไม่ไหว ฟีดเฟซบุ๊กเต็มไปด้วยรีวิวซีรีส์ในแอปฯ ต่าง ๆ เรียกได้ว่า ขึ้นหลังเสือไปแล้วจะลงมานั้นไม่ง่ายจริง ๆ
อย่างไรก็ตาม ตลาดโรงภาพยนตร์ที่ซบเซาลงไปก็ยังมีโอกาสหวนคืนมาอยู่ เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่า ผู้ชมที่ต้องการประสบการณ์การดูที่กระหึ่ม เต็มอิ่ม เต็มอรรถรส ซึ่งหาได้ในโรงภาพยนตร์เท่านั้นก็ยังมีอยู่ เพียงแต่ต้องรอให้โควิด-19 หายไปอย่างถาวรเสียก่อนจึงจะมีโอกาสกลับมาได้จริง
การรับชมสื่อเพื่อความบันเทิงไม่ได้จำกัดอยู่แต่ภาพยนตร์เท่านั้น แม้แต่โชว์ที่มักต้องรับชมสด ๆ เช่น คอนเสิร์ต ละครเวที การแข่งขันกีฬา หรือกระทั่งการพบปะศิลปิน (Meet & Greet) ก็ยังต้องปรับเปลี่ยนจากการนั่งชิดติดขอบเวทีหรือสนาม มารับชมทางออนไลน์เช่นกัน
คนออกกำลังกายที่บ้านมากขึ้น
การแพร่ระบาดของ โควิด-19 ได้เร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางพฤติกรรมของผู้ที่ชื่นชอบการออกกำลังกาย จากเดิมที่ผู้คนจะไปออกกำลังกายที่ฟิตเนส ก็เกิด New Normal เป็นการออกกำลังกายที่บ้านแทน
ด้วยเทคโนโลยีใหม่ ๆ อุปกรณ์ และแอปพลิเคชันที่เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต ทำให้ผู้คนสามารถเพลิดเพลินกับการออกกำลังกายได้ แม้จะอยู่ในบ้านคนเดียวก็ตาม เพราะมีทั้งโปรแกรมระบุแคลอรีที่เผาผลาญ แอปฯ คุมอาหาร รวมถึงการฟังเพลงและพูดคุยกับเพื่อนระหว่างออกกำลังกายก็ทำได้ และแน่นอนว่าทำได้มานานแล้วด้วย แต่ช่วงเวลาที่ โควิด-19 ระบาดจนต้องอยู่แต่ในบ้านนี่เองที่ทำให้ผู้คนเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างชัดเจนมากขึ้น
นั่นหมายความว่า ฟิตเนสและสถานออกกำลังกายต่าง ๆ อาจต้องหันมาเล่นตลาดออนไลน์ เพื่อสร้างรายได้แม้ขณะที่คนจำนวนมากอยู่แต่ในบ้าน รวมถึงฟิตเนสเหล่านี้ยังต้องหาทางดึงดูดลูกค้าให้กลับมาอีกครั้งเมื่อวิกฤตโควิด-19 คลี่คลาย
นอกจากนี้ พฤติกรรมเล็ก ๆ บางอย่างของเราอาจเปลี่ยนไปอย่างถาวร เช่น การกดลิฟต์ เดิมเรามักใช้นิ้วจิ้มปุ่มที่ต้องการ แต่ที่ผ่านมาหลายคนเปลี่ยนใช้กำปั้น ข้อศอก หรือโทรศัพท์มือถือ ในการกดปุ่มแทน
ยิ่งเวลาของวิกฤตยืดยาวไปนานเท่าไร พฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของเราก็จะยิ่งฝังลึกลงไปมากขึ้น จนสุดท้ายจะกลายเป็นความเคยชิน คงไม่น่าแปลกใจหากในอีก 5 ปีหรือ 10 ปีข้างหน้า เราจะยังคงเห็นคนใส่หน้ากากอนามัย พกเจลแอลกอฮอล์ ทำงานจากที่บ้าน หรือไม่ไปดูภาพยนตร์ในโรง แม้วิกฤตโควิด-19 สิ้นสุดไปแล้ว