โดนัลด์ ทรัมป์ เคยพูดไว้ตั้งแต่ตอนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี ว่าเขาจะบริหารงานตามสัญชาตญาณ แรงกระตุ้น และไม่มีพิธีรีตองอะไรมากนัก และเขาก็แสดงให้เห็นมาโดยตลอด ด้วยการไล่หรือไม่ก็บีบบังคับ ให้เจ้าหน้าทีทื่ระดับสูงในทำเนียบขาว ที่ตัวเองตั้งมากับมือ ลาออกจากตำแหน่ง ซึ่งจนถึงตอนนี้ก็มีคนหลุดวงโคจรไปแล้ว 8 คน รวมถึงรายล่าสุดคือนายแอนโธนี สคาร์รามุชชี่ ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารประจำทำเนียบขาว ส่วนสาเหตุคือ เขาไปกล่าวร้ายต่อเจ้าหน้าที่ 2 คน ด้วยถ้อยคำหยาบคาย
ความขัดแย้งในทำเนียบขาว ในยุคของทรัมป์ ถือเป็นเรื่องปกติก็ว่าได้ เพราะที่ผ่านมา ทรัมป์มักจะแต่งตั้งคนที่เป็นคู่กัดกัน ให้นั่งในตำแหน่งที่เท่าๆกัน เพื่อคานอำนาจกันไปมา นอกจากนี้ทรัมป์ยังชอบเรียกพวกพ้องของตัวเองมาทำงานใกล้ชิด โดยไม่สนใจว่า จะกระทบต่องานหรือความรู้สึกของเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ หรือไม่ แต่ผู้เชี่ยวชาญบอกว่า สิ่งเหล่านี้อาจจะหมดไป เมื่อทรัมป์แต่งตั้งพลเรือเอก จอห์น เคลลี่ อดีตนายทหารนอกราชการ ขึ้นมาเป็นหัวหน้าคณะทำงานประจำทำเนียบขาว ซึ่งถือว่าเป็นตำแหน่งที่ใหญ่มาก ตำแหน่งนี้เกิดขึ้นในสมัยอดีตประธานาธิบดีไอเซนฮาวน์ และนิยมใช้มาจนถึงทุกวันนี้
ขณะที่ความสำคัญของหัวหน้าคณะทำงาน หรือ Chief of Staff คือ ประธานาธิบดีเป็นผู้ตัดสินใจเรื่องการบ้านการเมืองใหญ่ๆ ในขณะที่หัวหน้าคณะทำงานจะตัดสินใจในเรื่องที่รองลงมา และถือได้ว่าใหญ่โตที่สุดในทำเนียบขาว รองจากประธานาธิบดีเท่านั้น
ด้านโฆษกทำเนียบขาวก็ยืนยันชัดเจนว่า เจ้าหน้าที่ทุกคน จะต้องขึ้นตรงกับหัวหน้าคณะทำงาน โดยไม่มีข้อยกเว้น ซึ่งเรื่องนี้อาจจะเป็นปัญหาใหญ่ในอนาคต เพราะไม่มีใครรู้ว่า นางสาวอีวังก้า ทรัมป์ บุตรสาว และนายจาเร็ด คุชเนอร์ ลูกเขย จะยอมอยู่ใต้อาณัติของอดีตนายพลคนนี้หรือไม่ และถ้าไม่อยู่หรือเกิดเป็นความขัดแย้งขึ้นมาคงไม่แปลกใจ ที่จะเห็นทรัมป์ไล่เจ้าหน้าที่ระดับสูงออกอีก 2-3 คน
