สำนักข่าวรอยเตอส์เปิดเผยว่า กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ได้จัดทำรายงานดังกล่าวด้วยการสัมภาษณ์ชนกลุ่มน้อยชาวโรฮิงญาทั้งชายและหญิง ที่อยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยของประเทศบังกลาเทศ โดยรายงานชิ้นนี้อ้างว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในรัฐยะไข่ ทางภาคเหนือของเมียนมาร์ อยู่ในขั้นรุนแรงมากและขยายตัวเป็นวงกว้าง โดยมีแนวโน้มนำไปสู่การสร้างความหวาดกลัวให้กับประชาชนและกดดันชาวโรฮิงญาให้ออกนอกพื้นที่
ขณะเดียวกัน ปฏิบัติการของกองทัพเมียนมาร์ยังมีระดับและขอบเขตที่แสดงให้เห็นถึงการเตรียมการและวางแผนอย่างเป็นขั้นตอน โดยผู้ที่รอดชีวิตให้ข้อมูลว่าเคยเห็นทหารเมียนมาร์สังหารทั้งทารกแรกเกิด เด็กเล็ก และชายฉกรรจ์ที่ไร้อาวุธ ซึ่งเหยื่อหลายคนถูกฝังทั้งเป็น
นอกจากนี้ ทหารเมียนมาร์ยังล่วงละเมิดทางเพศหญิงชาวโรฮิงญาเป็นจำนวนมาก ซึ่งมีหลายคนที่ถูกล่วงละเมิดต่อหน้าสาธารณชน
อย่างไรก็ตาม รายงานดังกล่าวยังไม่สามารถสรุปได้ว่าการกวาดล้างชาวโรฮิงญาของกองทัพเมียนมาร์ เป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์หรือการก่ออาชญากรรมต่อมนุษย์หรือไม่ โดยประเด็นดังกล่าวยังเป็นที่ถกเถียงกันเป็นภายในของเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ทำให้รายงานชิ้นนี้ยังไม่มีการเปิดเผยอย่างเป็นทางการ แต่ก็อาจเป็นปัจจัยที่ทำให้สหรัฐฯตัดสินใจยกระดับมาตรการบอยคอตและลงโทษเจ้าหน้าที่เมียนมาร์ได้
ขณะเดียวกัน เมื่อวานนี้ พลเอกอาวุโส มิน อ่อง หล่าย ผู้บัญชาการทหารสูงสุดเมียนมาร์ ได้ออกโรงโต้ว่า ไม่มีประเทศหรือองค์กรใด หรือแม้แต่สหประชาชาติ ที่จะมีสิทธิ์แทรกแซงอธิปไตยและกิจการภายในของเมียนมาร์ โดยถ้อยแถลงดังกล่าว ถือเป็นการแสดงจุดยืนครั้งแรกของผู้บัญชาการทหารสูงสุดเมียนมาร์ หลังจากที่ยูเอ็นออกรายงานเรียกร้องให้มีการผลักดันส่งตัวเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกองทัพเมียนมาร์ เข้ารับการพิจารณาคดีในศาลอาญาระหว่างประเทศ (ไอซีซี) ฐานฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวโรฮิงญา
ติดตามข่าววันนี้ได้ที่นี่ >>> //www.pptvhd36.com/special/ข่าววันนี้
