วานนี้ (4 พ.ค. 2565) โลกโซเชียลได้แชร์ภาพที่วัดแห่งหนึ่งในจังหวัดพิษณุโลก ติดป้ายห้ามหมอปลาเข้าวัด ทำให้เกิดการตรวจสอบถึงที่ไปที่มาของภาพนี้ ซึ่งตอนแรกเจ้าอาวาสวัดดังกล่าวก็บอกว่า ไม่รู้ว่าใครเอาป้ายมาติด แต่ล่าสุดก็ยอมรับแล้วว่าทำเอง
จ่อแจ้งความ “หมอปลา” เหตุบุกรุก-ไม่ให้เกียรติศิษย์เอกหลวงพ่อคูณ
“หมอปลา” นำทีมบุกพิสูจน์หลวงพ่อวัดดังซุกสีกาในกุฏิ
ในโซเชียลอย่างรวดเร็วหลังคนดังและเพจดังต่างแชร์เรื่องนี้ พร้อมตั้งคำถามว่าเกิดอะไรขึ้น เนื่องจากป้ายดังกล่าวระบุข้อความว่า
"ร่วมปลุกกระแสห้ามหมอปลาเข้าสร้างความวุ่นวายในเขตวัด ทำตัวอยู่เหนือกฎหมาย แค่อ้างว่ามีคนร้องเรียนก็บุกเข้าค้นวัดได้ ทุกซอกทุกมุมโดยไม่มีหมายค้น ถ้าแน่จริง มีคนแจ้งว่า บ้านนี้ค้ายา บ้านนั้นค้าของเถื่อน บ้านนี้ให้ที่หลบซ่อนมือปืน กล้าเข้าค้นเหมือนค้นวัดไหม วัดเป็นนิติบุคคลเจ้าอาวาสเป็นเจ้าพนักงาน ทุกวันควรขึ้นป้ายต่อต้านหมอปลา ฝ่าฝืนเข้าไปทำแบบที่เคยทำในวัดไหน ให้ฟ้องศาลทุกวัด ผิดถูกไปว่ากันที่ศาล ไม่เช่นนั้นหมอปลาจะย่ำยีพระตลอดไป กล้าไปทุกวัดก็ต้องกล้าขึ้นศาลทุกคดี นะหมอปลา"
ป้ายนี้หลายคนวิจารณ์ว่า หากพระไม่ได้ทำอะไรก็ไม่ควรกลัวว่าหมอปลาจะบุกเข้าไปในวัด พร้อมให้กำลังใจหมอปลาในการตรวจสอบพระที่มีพฤติกรรมไม่ดีทีมข่าวตรวจสอบพบว่าป้ายดังกล่าวติดอยู่หน้าวัดใหม่พรหมพิราม จ.พิษณุโลก แต่เพียงชั่วข้ามคืนป้ายก็ถูกปลดออกเมื่อช่วง 5 นาฬิกา 30 นาที
พระครูธีรศาสตร์กิจจาธร เจ้าอาวาสระบุว่า ทราบถึงกระแสวิจารณ์ เพราะเจ้าคณะอำเภอพรหมพิราม โทรศัพท์มาบอก จึงปลดออก แต่บอกว่า ไม่รู้ว่าใครเป็นคนนำป้ายมาติด และติดตั้งแต่เมื่อไหร่ เพราะพระในวัดมัวแต่ทำงานสร้างกุฏิอยู่ด้านใน และยังบอกว่ากระแสข่าวดังกล่าว ทำให้หมอปลาและวัดเสียหาย จึงอยากใปรับความเข้าใจกับหมอปลา
แต่หลังมีข่าวว่าเจ้าอาวาสบอกว่าไม่รู้ว่าใครเป็นคนติดป้ายแพร่สะพัดออกไปตามสื่อต่างๆ ไม่นานก็เริ่มมีกระแสข่าวว่ามีไลน์ที่เจ้าอาวาสเป็นคนสั่งทำป้ายหลุดออกมา โดยไลน์ดังกล่าวเป็นไลน์กลุ่ม ซึ่งมีการส่งตัวอย่างป้ายห้ามหมอปลาเข้าวัดเข้ามา จากนั้นก็มีข้อความบอกว่า "ทำป้ายไวนิลให้ด้วย ให้ร้านมาวัดโครงหน้าวัด และมีคนตอบรับว่า "เดี๋ยวบอกให้ร้านไปวัดให้ครับ"
ไม่นานมีข่าวว่าเจ้าคณะอำเภอพรหมพิราม เข้าพบเจ้าอาวาสวัดใหม่พรหมพิราม เพื่อสอบถามข้อเท็จจริง ก่อนที่จะมีการแถลงข่าวช่วงเที่ยง โดยคราวนี้เจ้าอาวาสวัดใหม่พรหมพิราม ยอมรับว่าเป็นคนสั่งทำป้ายขึ้นเอง โดยเล่าที่มาว่า ภาพป้ายดังกล่าวมีการส่งมาในไลน์กลุ่มของคณะสงฆ์และตามสื่อต่างๆ จึงมีความเห็นคล้อยตามและสั่งทำป้ายมาติดเพราะอินไปตามกระแส ที่เห็นว่าการตรวจสอบวัดบางครั้งก็ไม่ได้เป็นเรื่องจริง
ขณะที่ชาวบ้านในพื้นที่ให้ข้อมูลกับผู้สื่อว่า เมื่อประมาณ 3 ปีก่อน ชาวบ้านเคยรวมตัวกันขับไล่เจ้าอาวาสออกจากวัดไป เพราะมีกระแสข่าวว่า ดื่มเหล้า ฉันท์หมูกระทะ และมีผู้หญิงมาหาที่กุฏิ แต่ในครั้งนั้นชาวบ้านให้โอกาสปรับปรุงตัว เพราะไม่มีพยานหลักฐานจึงยังไม่สามารถขับออกจากวัดได้
ในมุมกฎหมาย ทนายเกิดผล แก้วเกิด ระบุว่า วัดนั้นมีสถานะเป็นนิติบุคคล มีทั้งส่วนที่คนสามารถเข้าออกอย่างสาธารณะได้ เช่นโบสถ์ ศาลา แต่กุฎิถือเป็นที่รโหฐานการเข้าไปโดยพละการมีความเสี่ยงผิดกฎหมายที่ส่วนตัว แต่ในกรณีที่มีพระบางรูปนำสีกาเข้าไปในกุฏิ ถึงจะเป็นเรื่องส่วนตัววัดเป็นผู้เสียหาย แต่ในทางปฏิบัติแล้วพุทธศาสนาไม่ได้เป็นของใครคนใดคนหนึ่ง ประชาชนมีสิทธิ์ตรวจสอบ
ขณะที่ในพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ เจ้าอาวาสถือเป็นเจ้าพนักงาน มีสิทธิ์ใช้คำสั่งขับไล่ได้ แต่ก็เฉพาะกรณีบุคคลนั้นอาศัยกินนอนอยู่ในวัด แต่ไม่มีสิทธิ์ที่จะไม่ต้อนรับหรือขับไล่ประชาชนทั่วไปส่วนการขึ้นป้าย ซึ่งมีคนสงสัยว่าเป็นการประจานเข้าข่ายหมิ่นประมาทหรือไม่ ทนายเกิดผลบอกว่า มีข้อความหนึ่งที่น่าจะเข้าข่ายหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณาคือคำว่า “สร้างความวุ่นวาย”
ด้านตำรวจ ระบุว่า ตามหลักจริง ๆ ต้องมีหมายค้น และควรทำโดยฝ่ายปกครองหรือตำรวจ
ด้านหมอปลา ทีมข่าวตรวจสอบทราบว่า เตรียมเดินทางไปที่วัดดังกล่าว แต่ไม่ได้ติดใจจะฟ้องร้องดำเนินคดีแต่อย่างใด นอกจากนี้ยังทำคลิปพูดคุยกับป้ารัตนาคนดังในเรื่องนี้ในช่องหมอปลาแฟมิลี่ด้วย