วันนี้ 5 ม.ค. 2566 นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตเจ้าของสถานบันเทิง ตั้งโต๊ะแถลงข่าวเกี่ยวกับคดีตู้ห่าวนายทุนจีนสีเทาโดยเปิดฉากด้วยการถือตะเกียง พร้อมกล่าวเปรียบเทียบว่า บ้านเมืองอยู่ในความมืดมิด ไร้ความหวัง ไร้ผู้นำ ในการให้ความยุติธรรม ทั้งยังปักเทียนเปรียบเทียบว่า ผบ.ตร.และอัยการกำลังนั่งเทียนทำสำนวนคดี ทั้งที่พยานหลักฐานไม่แน่นหนา สำนวนอ่อน สังเกตได้จากการแถลงข่าวที่สำนักงานอัยยการสูงสุดและผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเมื่อวานนี้ (4 ม.ค.)
"ชูวิทย์" แฉ คลิปทำร้ายร่างกายโยงคดีตู้ห่าว
"ชูวิทย์" เปิดตัวพยาน สาวไส้ “คดีตู้ห่าว”
นายชูวิทย์ กล่าวว่า ที่ดำเนินการมาคือติเพื่อก่อ เนื่องจากเมื่อวานเห็นว่าอัยการและตำรวจมีการแถลงข่าวร่วมกัน เฉพาะเรื่องที่ “หลงจู๊” ถูกยกฟ้องก็พูดไม่เต็มปากเต็มคำ ส่วนกล้องวงจรปิดที่ปรากฏภาพ “ภรรยานายตู้ห่าว” ได้พาคนไปดูที่ จ.ภูเก็ต คดีนี้นายตู้ห่าวก็หลุดคดี ที่สำคัญตนติเพราะการทำงานมันมีพิรุธมากไป อีกทั้งการแถลงข่าวก็ทำให้สังคมไม่เชื่อถือ
ส่วนประเด็นที่มีนักข่าวไปสอบถามว่ากรณีที่พูดถึงการทำงานของเจ้าหน้าที่ ถือว่าเป็นการหมิ่นหรือวิพากษ์วิจารณ์หรือไม่ นายชูวิทย์ ระบุว่า ตนไม่กลัวอะไรอีกแล้ว เพราะสิ่งที่พูดมันเป็นประโยชน์ต่อสาธารณชน ขอให้ไปถามเจ้าหน้าที่ได้เลยว่ามีสิ่งไหนที่ตนพูดแล้วเป็นเท็จบ้างหรือไม่
ส่วนสำนวนของตำรวจ ตนขอฝากเทียนไปให้คนละเล่ม ประกอบด้วย พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. นายกุลธนิต มงคลสวัสดิ์ อธิบดีอัยการ สำนักงานการสอบสวน และนายโกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง รองอธิบดีอัยการสำนักงานคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ประชาชน (สคช.) และในฐานะรองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เพราะท่านนั่งเทียนอยู่ เผื่อว่าเทียนท่านจะหมด เนื่องด้วยเห็นตำรวจบอกว่าทำงานทั้งวันทั้งคืน
เมื่อถามว่า กรณีที่อัยการบอกว่าสำนวนตำรวจสมบูรณ์ครบถ้วนดีนั้น นายชูวิทย์ ระบุว่า แสดงว่าคุณอยู่ในฝั่งที่defend ตน เพราะถ้าสำนวนสมบูรณ์สังคมจะกลับมาดูหลักฐานที่ตนนำเสนอทำไม และการทำงานของตำรวจก็เป็นการเก็บหลักฐานแบบเว้นวรรค เว้นหลายวันค่อยเข้าตรวจค้นและอื่นๆ อีก เช่น การกล่าวอ่างถึงเรื่องระเบียบ ป.ป.ส.ที่ทำให้ตำรวจเข้าตรวจค้นไม่ได้ หรือการขยักหลักฐานที่บอกว่ามีเยอะเพียงพอแล้ว ไม่ต้องใช้เพิ่ม หรือการปล่อยรถยนต์ของกลาง หรือการที่ พ.ต.อ.ณัฐพล โกมินทรชาติ รอง ผบก.น.6 รักษาการแทน ผกก.สน.ยานนาวา ปล่อยรถพอร์ชและปล่อยรถยนต์ 11 คันไว้ที่เกิดเหตุ ไม่มีการตรวจ อ้างว่าไม่มีกุญแจ รวมถึงการปล่อย Mr.Shirong Du ซึ่งเป็นคนที่ยืนอยู่ในกาสิโนตามปรากฏในคลิปวงจรปิดที่ตนเผยแพร่ไปทางเฟซบุ๊ก
นอกจากนี้ การตั้งข้อหากับ พ.ต.อ.ณัฐพลว่า มีการรับผลประโยชน์ อยากถามว่ามีการสอบปากคำคนให้ประโยชน์ พ.ต.อ.ณัฐพลหรือยัง ซึ่งก็คือ “ผู้หญิงชาวจีนรายหนึ่ง” ที่ถือถุงกระดาษใส่เงินจำนวน 600,000 บาท ขึ้นไปยังห้องทำงานที่ สน.ยานนาวา โดยหญิงชาวจีนรายนี้ชื่อ Zhou Shuailian
อย่างไรก็ตาม นายชูวิทย์ ได้อธิบายถึงผังสถานที่บริเวณอาคารผับจินหลิง ว่า หากสังเกตดีๆผับจินหลิงจะอยู่ด้านบน ซึ่งเป็นสถานที่สำหรับเสพยาเสพติด ส่วนอาคารลีลาอยู่ด้านล่างซ้าย เป็นสถานที่สำหรับบ่อนกาสิโน ขณะที่อาคารวิบวับอยู่ด้านล่างขวา ทราบว่าอาคารลีลามีการใช้เซิร์ฟเวอร์ จำนวน 2 ตัว แต่มีกล้อง 68 ตัว เนื่องจากอาคารลีลามีบ่อนกาสิโนจึงใช้กล้องเยอะ
ส่วนผับจินหลิงและอาคารวิบวับมีการใช้เซิร์ฟเวอร์ตัวที่ 3 ตัวที่ 4 ใช้กล้องอย่างละ 20 ตัว รวม 40 ตัว แต่ก็พบว่ากล้องวงจรปิดถูกตัดต่อ เพราะเซิร์ฟเวอร์ของผับจินหลิงที่เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน (พฐ.) กลับเหลือเพียง 1 ตัว ทั้งๆ ที่มีเซิร์ฟเวอร์ 2 ตัว และเจ้าหน้าที่ พฐ.มีภาพกล้องวงจรปิดแค่ระหว่างวันที่ 21-26 ต.ค.65 เท่านั้น แต่ระหว่างวันที่ 18-19 ต.ค.65 ก่อนหน้านี้ได้ถูกตัดออกไปแล้ว
ต้องถามว่าตำรวจต้องการช่วยเหลือใคร การทำสำนวนแบบนี้หรือเรียกว่าสมบูรณ์แล้ว และที่สำคัญตัวเซิร์ฟเวอร์ของอาคารลีลาหายไปไหน เพราะมันสามารถนำไปสู่การตั้งข้อหาลักลอบเล่นการพนันได้ และบางมุมมีการปรากฏภาพพนักงานกรอกยาผงสีขาว (ยาเสพติด) บรรจุลงในวัสดุอีกด้วย
นายชูวิทย์ กล่าวว่า ฝากถามไปยัง ผบ.ตร.และอัยการอย่างนายกุลธนิต มีใครเคยไปในที่เกิดเหตุหรือไม่ แล้วจะไปว่าความ หรือไปเขียนสำนวนอย่างไร ดังนั้น จึงต้องมอบเทียนให้ทั้งสองท่าน เพราะเห็นท่าน ผบ.ตร.บอกว่าตัวเองลงมานั่งคุมสำนวนเอง และ ผบช.น.ไม่ได้เป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวนแล้ว หนำซ้ำในวันที่ตนไปให้การกับคณะอัยการกลับมามีอัยการอักษรย่อ ส.คอยสอดแนม และพูดว่าใครจะเข้าที่เกิดเหตุได้ ถามว่าใครชวนใครไป ระหว่างบิ๊กโจ๊กกับ ป.ป.ส.
อยากถามว่าใครไปสำคัญตรงไหน แต่การไปสถานที่เกิดเหตุมันทำให้ได้พยานหลักฐานเพิ่มเติม ตรงนี้สำคัญกว่าหรือไม่ เพราะการที่พล.ต.อ.สุรเชษฐ หักพาล รองผบ.ตร. และ ป.ป.ส.เข้าไปตรวจค้นเพิ่มเติม ก็เจอรถยนต์ที่ยังไม่ได้ถูกเปิดตรวจค้น และเจอร่องรอยเกี่ยวกับยาเสพติดในถาดไม้
นายชูวิทย์ กล่าวว่า ตนต้องเป็นฝ่ายไปสอบตำรวจและต้องตั้งคณะชูวิทย์มากกว่า เพื่อสอบตำรวจทั้งหมด เนื่องจากปรากฏหลักฐานอันเชื่อได้ว่ามีการช่วยเหลือกันของบรรดาเจ้าหน้าที่ และจะตามคดีนี้ไปจนถึงชั้นศาล
นอกจากนี้ นายชูวิทย์ ได้เปิดตัวพยาน พร้อมระบุว่า มีพยานแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ พยานที่เป็นผู้รับเหมา และ พยานอักษรย่อ ป. ซึ่งเป็นผู้ที่เห็นเงินสดถูกเบิกจากธนาคารครั้งละ 30 ล้านบาท และเป็นเงินที่โอนมาจากประเทศจีน
โดยพยาน ประกอบด้วย เจี๊ยบ รับเหมากระจกอะลูมิเนียมและฝ้า ซึ่งระบุว่านายตู้ห่าวติดค้างอยู่ 8.5 ล้านบาท, นัท รับเหมาทำงานทาสี และทำงานกับตู้ห่าวมาประมาณ 7 แห่ง ตั้งแต่ปี 59-62 ซึ่งระบุว่านายตู้ห่าวติดค้างอยู่ 1.3 ล้านบาท, หลิน ทำงานก่อฉาบปูกระเบื้อง ระบุว่านายตู้ห่าวติดค้าง 1.5 ล้านบาท
ทวีเกียรติ ทำงานก่อและฉาบปูนกับตู้ห่าวตั้งแต่ปี 60-61 ระบุว่านายตู้ห่าวติดค้าง 1.7 ล้านบาท, เบิร์ด ทำระบบการประปา 9 แห่งกับนายตู้ห่าว ทุกวันนี้ยังเก็บเงินไม่ได้ ติดค้าง 36 ล้านบาท, บุญทรง ทำเฟอร์นิเจอร์บิ้วอิน ทำกับนายตู้ห่าว 3 แห่ง ค้างอยู่ 12 ล้านบาท, เบิ้ม ทำเกี่ยวกับโครงสร้าง 7 หลัง โดยค้างอยู่ 3 ล้านบาท และ ตัวแทนบริษัทแห่งหนึ่ง ทำเกี่ยวกับโครงสร้างและสถาปัตย์ที่โรงแรมแห่งหนึ่ง โดยนายตู้ห่าวค้างอยู่ที่ 35 ล้านบาท
พยานปากเอกที่เป็นคนเบิกเงินกว่า 30 ล้านบาท ระบุว่า ไปเบิกเงินตามคำสั่ง โดยวันหนึ่งเบิกเงินสดประมาณ 20-30 ล้านบาท และมีคนบอกว่าเงินนี้มาจากจีน ทั้งนี้ ได้ไปให้การกับอัยการเรียบร้อยแล้ว อีกทั้งเป็นคนมาหานายชูวิทย์เอง และที่ไม่ไปหาตำรวจเพราะไม่ไว้ใจ เพราะทางนั้นรู้จักตำรวจเยอะ
นายชูวิทย์ ยังอ้างว่า นายตู้ห่าวมีเงินซื้อรถยนต์โรลส์-รอยซ์ แต่ไม่จ่ายเงินผู้รับเหมา อีกทั้ง รถทัวร์จำนวนกว่า 400-500 คันของบริษัท เอ็มแอนด์ เอ็ม ทรานสปอร์ต เซอร์วิส จำกัด ที่หลายคนเข้าใจว่าเป็นบริษัทของตู้ห่าว แต่คนที่เป็นเจ้าของจริงๆ คือ หจก.แห่งหนึ่งซึ่งเป็นของหลานประยุทธ์ จึงไม่สงสัยว่าทำไมเรื่องมันถึงหยุดและมีอยู่เท่านี้
การที่ตั้งจเรตำรวจแห่งชาติมาสอบสวนการทุจริตของตำรวจในคดีดังกล่าว หากจเรตำรวจประสงค์จะให้เข้าไปให้ข้อมูล ผมก็ไม่พร้อมที่จะเข้าไปให้ข้อมูลดังกล่าวเพราะเชื่อว่าจเรตำรวจมีข้อมูลดังกล่าวอยู่ในมือแล้ว และเชื่อว่าการตั้งกรรมการสอบสวนของจเรตำรวจจะสามารถดำเนินการในเรื่องดังกล่าวเพื่อเอาผิดได้
เมื่อถามว่าหากประเมิน KPI ของเจ้าหน้าที่ที่ทำคดีตู้ห่าวได้จะเป็นอย่างไรนั้น นายชูวิทย์กล่าวว่า ผบช.น.เอาไปศูนย์คะแนน แม้จริงๆ อยากให้ติดลบ เพราะปล่อยผู้ต้องหารรายสำคัญหนีไป ปล่อยหลานนายตู้ห่าว ปล่อยรถของกลาง ปล่อยพยานไปหมด ผบช.น.ไม่ใช่มืออาชีพแต่เป็นมือสมัครเล่น ส่วนอัยการเอาไป 5 คะแนน เพราะมีอัยการชื่อ ส.พูดจาเลอะเทอะ ขณะที่สำนักงาน ป.ป.ส.ให้ 9 คะแนน เพราะ ป.ป.ส.ทำงานเต็มที่ ไล่ยึดอายัดทรัพย์สินได้ดี และดีเอสไอก็ได้รับ 9 คะแนนเช่นเดียวกัน
กระบวนการยุติธรรมต้องทำงานเพื่อประชาชนอย่างโปร่งใส การที่ไม่โปร่งใส ผมในฐานะประชาชนมีสิทธิตั้งคำถาม และจะสอบตำรวจเองเพราะตำรวจทำตัวเองไม่โปร่งใส อัยการยังบอกว่าสำนวนครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว ดังนั้น หากจะช่วยกันทั้งตำรวจและอัยการขอให้คิดดีๆ เพราะตัวเองก็เปื้อนอยู่แล้ว สิ่งที่พูดขอให้มาเป็นข้อเท็จจริง อย่าคิดว่าผมรู้ไม่ทัน
“ยืนยันว่าผมไม่ประสงค์ในตำแหน่งทางการเมืองใดๆ ทั้งสิ้น แต่เรื่องนี้จะต้องถูกนำเข้าไปสู่การอภิปรายในสภา แม้ว่าจนถึงขณะนี้จะไม่มีนักการเมือง หรือผู้แทนราษฎรทั้งฝ่ายค้าน หรือฝ่ายรัฐบาลนำไปพูดก็ตาม ทั้งที่เป็นเรื่องที่สังคมและประชาชนให้ความสนใจต่อเนื่อง” นายชูวิทย์กล่าว