วันนี้ 24 เม.ย. 2566 นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว เป็นภาพที่แสดงให้เห็นถึงความสนิทสนมกันระหว่าง "ทนายตั้ม" หรือ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด กับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
เป็นภาพ "ทนายตั้ม- ภรรยา และ บิ๊กโจ๊กกับภรรยา" อยู่ในเฟรมเดียวกัน พร้อมเค้กวันเกิด ส่วนอีกภาพเป็นการเซลฟี่ร่วมกัน ลักษณะสนิทสนม
“ชูวิทย์” โพสต์ทนายคนดีรวยเร็ว เบื้องหลังเอี่ยวเว็บพนัน
"ชูวิทย์" โพสต์แฉอีก "ทนายตั้ม" มีตำรวจอำนวยความสะดวกสนามบิน
โพสต์ของ นายชูวิทย์ ระบุข้อความ ว่า “เทพ จ.” กับ ทนายตั้ม ด้วยอายุราชการ ที่ยังเหลืออยู่อีกยาวของรองโจ๊ก พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ผ่านร้อนผ่านหนาวในอาชีพตำรวจมามาก ตกระกำลำบากถูกเด้งไปประจำสำนักนายกฯ ก็เคยมาแล้ว แต่กลับมาเป็น รอง ผบ.ตร. ได้สมญานาม “เทพ จ.” เพราะจ่อตำแหน่ง “ผู้นำองค์กรตำรวจ” เหลืออายุราชการอีก 8 ปี
แต่อะไรก็เกิดขึ้นได้ ภายใต้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สิ่งที่ต้องระวังในการก้าวขึ้นสู่ตำแหน่ง ผบ.ตร. คือ “คนใกล้ตัว” ที่มักจะทำให้ตกอับกับแสง เห็นมานักต่อนักในอดีต
นายชูวิทย์ ระบุอีกว่า ในรูปเห็นอยู่ว่า “ทนายตั้ม” เด็กวานซืนสนิทสนมกับรองโจ๊ก แค่ไหน เอาไปใช้หากินได้อีกเยอะ อย่างน้อยสร้างเครดิตอวดลูกความให้เชื่อถือ ด้วยอิทธิพลคนใกล้ชิด อาศัยแสงของบิ๊กโจ๊ก กลายเป็น “เทพคนสนิท” อีกคน จนตำรวจทั้งกรมเกรงใจคนจะเป็น ผบ.ตร. ควรวางตัวให้ดี ไม่ให้คนใกล้ชิดแอบอ้างไปหากินให้เสียยี่ห้อ
นายชูวิทย์ ทิ้งท้ายโพสต์เอาไว้ว่า จึงขอสะกิดเตือน “บิ๊กโจ๊ก” ตำรวจด้วยกันกลิ่นมันไว ทิ่มได้เป็นทิ่ม ก็รู้อยู่ว่ามีคนจองกฐินยาว คนหลงตัวเอง รวยแบบมีเงื่อนงำ ยังเอามาใกล้ชิดแบบนี้จะทำให้เสียเอาง่ายๆ
นี่เป็นห่วงนะครับ เดี๋ยวจะไม่ได้ขึ้นเพราะเด็กวานซืน น้ำผึ้งหยดเดียวแท้ๆ
ขณะเดียวกันหลังจาก นายชูวิทย์ โพสต์ดังกล่าว ทนายตั้ม ได้เคลื่อนไหวมาคอมเม้นใต้โพสต์ของนายชูวิทย์ โดยระบข้อความว่า "อย่างน้อยผมไปเจอ หรือทานข้าวกับใคร ก็มั่นใจได้ว่าไม่อัดคลิปไว้แบล็คเมล์แน่นอนครับ"
ผู้สื่อข่าวยังได้ไปพูดคุยเพิ่มเติมกับ นายชูวิทย์ ถึงประเด็นดังกล่าวว่า ทำไมถึงออกมาแฉความสัมพันธ์ระหว่างบิ๊กโจ๊ก กับทนายตั้มแบบนี้ เท่ากับว่า จะต้องเปิดศึก 2 ด้านหรือไม่
นายชูวิทย์ บอกว่า ไม่ได้จะเปิดศึกอะไร นี่แค่เป็นการเตือนบิ๊กโจ๊กว่า อย่าไปอยู่ใกล้คนแบบนี้ และถ้าอยากโทษ ก็คงต้องไปโทษทนายตั้ม ที่เป็นคนเปิดศึกก่อน
ส่วนประเด็นเรื่องคลิปที่มีตำรวจ ไปอำนวยความสะดวกให้กับทนายตั้ม ในสนามบินที่ออกมาแฉก่อนหน้านี้ ก็เพื่อจะแสดงให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำในสังคม ถ้าเป็นระดับผู้หลักผู้ใหญ่มีคนมาอำนวยความสะดวกให้แบบนี้ นายชูวิทย์มองว่าไม่แปลก แต่กรณีของทนายตั้ม เชื่อว่ามี “นายสั่ง” ให้คอยมาดูแลแน่นอน
ผู้สื่อข่าวได้สอบถาม พล.ต.อ สุรเชษฐ์ เกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว โดยระบุว่า ตัวเองรู้จักกับทนายตั้มมานานแล้ว และไม่ใช่เพียงแค่ทนายตั้มคนเดียว ยังมีทนายคนอื่นๆทั้งที่มีชื่อเสียง และไม่มีชื่อเสียงรวมถึงตัวนายชูวิทย์เอง ส่วนตัวจึงมองว่าเป็นเรื่องที่ไม่มีสาระ
ส่วนในภาพเป็นงานวันเกิดของภรรยาตัวเอง ซึ่งจัดขึ้นเมื่อช่วง 5 ปีที่แล้ว ไม่ได้จัดใหญ่และไม่ได้เชิญใครแต่ทนายตั้มทราบข่าวจึงเดินทางมา เพราะสนิทกันมานานแล้ว ตั้งแต่สมัยทำคดีทุจริต ที่ทนายตั้ม นำข้อมูลมาให้ แต่หลังจากนั้นอีกฝ่าย จะไปทำอะไรตัวเองก็ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง รู้จักกันในลักษณะเป็นเพื่อนเป็นพี่น้อง
เพราะการไปตำรวจต้องรู้จักคนทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นโจรเป็นคนดี ถ่ายรูปได้กินข้าวด้วยกันได้เพราะตำรวจไม่เหมือนศาลที่ต้องวางตัวสูง ต้องรู้จักคนเพื่อให้ได้ข้อมูล แต่ไม่ได้หมายความว่าการที่รู้จักกับตัวเองแล้วจะสามารถนำไปหาประโยชน์ได้
สำหรับประเด็น ปรากฎภาพตำรวจไปเข็นรถอำนวยความสะดวกให้ทนายตั้ม และ ลูกความ ในสนามบิน เรื่องนี้ พล.ต.อ สุรเชษฐ์ ก็ได้ตอบคำถามผู้สื่อข่าวของเราเช่นกัน ว่า ไม่ใช่ลูกน้อง ของตัวเองอย่างแน่อน ตัวเองเป็นคนที่เคร่งครัด ทนายตั้ม ก็ไม่ได้มีอิทธิพลกับตัวเอง ขนาดที่จะต้องไปเชิดชูเทิดทูน
พล.ต.อ สุรเชษฐ์ บอกอีกว่า เป็นหน้าที่ของผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว ที่จะต้องไปพิสูจน์ให้ได้ ต้องลงโทษและตามหาให้ได้ว่าใครเป็นคนสั่งให้กระทำในลักษณะนั้น ต้องเป็นคนรับผิดชอบ เพราะเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง การไปรับไปหิ้วกระเป๋าให้กับคนอื่นเป็นเรื่องที่ไม่สมควร เพราะเป็นตำรวจ
อย่างไรก็ตาม สำหรับความเคลื่อนไหว นายษิทรา ตั้งแต่โพสต์คลิปวิดีโอที่มีเสียง นายชูวิทย์ เจรจากับนายทหารคนหนึ่ง ฝากฝังลูกชาย ให้ไปเป็นทหาร ก็ยังไม่ได้ออกมาโพสต์แฉอะไรอีก
และ ล่าสุด ทีมข่าวพยายามโทรศัพท์ติดต่อไปเพื่อขอสัมภาษณ์ แต่ทาง ทนายตั้ม ยังไม่รับสาย