วันที่ 23 เม.ย.2567 นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ “ทนายตั้ม” แถลงข่าวแฉ 2 บิ๊กตำรวจ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล เป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) และ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ที่เกี่ยวข้องกับคดีฟอกเงินเว็บพนันเหมือนกันแต่กลับมีการดำเนินการที่แตกต่างกัน
โดยทนายตั้มย้ำว่าวันนี้ต้องการทำเพื่อชาติ ไม่มีเพื่อน ไม่มีพี่ไม่มีน้องแล้ว มีเพื่อชาติอย่างเดียว อะไรที่เป็นประโยชน์ตนจะออกมาแฉ เพราะต้องการเปลี่ยนแปลงให้สังคมดีขึ้น ใครจะโกรธก็โกรธตนไม่สนใจ พร้อมบอกว่าวันนี้ขอเป็นนักสืบ
ทนายตั้ม บอกว่า คดีของพล.ต.อ.สุรเชษฐ์นั้น มีบัญชีม้าที่ พ.ต.ท.คริษฐ์ ปริยะเกตุ ลูกน้องพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ถืออยู่มีบัญชีพุทธิพงศ์, โชคนที, เบญจมิน และครรชิต โดยคดีมินนี่ถูกจับช่วงเดือน ต.ค.2566 แต่ตอนนั้นคดียังเดินไปช้าเพราะไม่สามารถโยงกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้ แต่เมื่อมีคดี BNK master ในช่วงเดือน ธ.ค.2566 คดีกลับไวกว่าคดีมินนี่ เพราะคดีนั้นเชื่อมโยงกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ซึ่งโจทย์ของชุดทำคดีชุดนี้เขาต้องการเอาพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ออกจากราชการไว้ก่อน
โดยกรณีนี้มีการโอนเงินจากบัญชีพิมพ์วิไล จ่ายส่วยให้กับบัญชีม้าเบญจมินที่ พ.ต.ท.คริษฐ์ ถืออยู่ เดือนละ 300,000 บาท ดังนั้นการจะมาอ้างว่าตัวเองไม่เคยรับเงินเว็บอันนี้ฟังไม่ขึ้น ซึ่งเมื่อบัญชีม้าที่ พ.ต.ท.คริษฐ์ ถืออยู่ ได้รับการโอนเงินเข้ามา ก็มีการโอนเงินต่อไปยังบัญชีของ แม่และน้องชาย พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ บัญชีละ 50,000 บาท เป็นรายเดือน จากนั้นยังมีการโอนเงินจากบัญชีม้าดังกล่าวเข้าบัญชีของโรงพยาบาลแห่งหนึ่งเป็นค่ารักาพยาบาลให้กับคนในครอบครัวของบิ๊กโจ๊ก รวมประมาณ 4 ล้านบาท และยังมีการจ่ายค่าน้ำค่าไฟ ค่าน้ำมันรถ ค่าโทรศัพท์รวมทั้งค่ากาแฟของทีมงานพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ก็ใช้เงินจากบัญชีม้าดังกล่าว
คดีบิ๊กโจ๊ก ตำรวจดำเนินคดีอย่างรวดเร็ว นครบาลมีการตั้งทีมงานทำงานกันอย่างดุเด็ดเผ็ดมัน ซึ่งถือว่าทำถูกแล้ว แต่ตนต้องการถามข้าราชการตำรวจ รวมทั้งบิ๊กต่าย(พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รักษาการ ผบ.ตร.)ว่ากำลังจะปัดกวาดบ้านให้สะอาด ซึ่งตอนนี้ปัดกวาดบิ๊กโจ๊กไปแล้ว แต่บิ๊กต่ายกล้ากับบิ๊กต่อ หรือไม่ จะปัดกวาดบ้านไม่ใช่ปัดกวาดแค่คนหนึ่งแล้วเหลืออีกคนหนึ่งไว้
ส่วนกรณี พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ มีการใช้บัญชีม้า 2 กล่าว คือกลุ่มของดาบยาว ซึ่งใช้ชื่อญาติมาทำบัญชีม้า และกลุ่มของรองฟาง โดยบัญชีม้าแค่บัญชีเดียวมีเงินเข้า 80 ล้านต่อเดือน โดยทั้งพล.ต.อ.ต่อศักดิ์ และพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ มีการใช้บัญชีม้าทั้งคู่ แต่คดีของพล.ต.อ.ต่อศักดิ์ ไม่คิดจะหาพยานหลักฐาน ทั้งที่คดีของพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ มีการให้หน่วยคอมมาโดไปค้นหาหลักฐานถึงบ้าน แต่กรณี พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ กลับรอให้ตนเป็นคนหาหลักฐานให้ พอมอบหลักฐานให้ก็เงียบ ไม่มีการทำอะไร
โดยความเหมือนที่แตกต่างกัน คือกรณีของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ มีการโอนเงินเข้าบัญชีของแม่และน้องชาย และจ่ายสาธารณูปโภค ส่วนกรณีของ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ ก็มีการโอนเงินจ่ายเป็นเงินเดือนให้ภรรยา และพี่ชายพี่สาว รวมทั้งจ่ายสาธารณูปโภคเหมือนกัน เป็นค่าผ่อนบ้านและค่าคอนโด 3 แห่ง มีค่าน้ำมันค่ารถค่ากาแฟเช่นเดียวกันกับกรณีของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์
การดำเนินการเรื่องส่วยของทั้ง 2 บิ๊กตำรวจ ไม่แตกต่างกัน เพราะมีเส้นเงินมีอะไรคล้ายกัน แต่การดำเนินการเรื่องคดีแตกต่างกันชัด เพราะคดีของพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ดำเนินคดีสำเร็จ จนเอาออกจากราชการสำเร็จ แต่ของพล.ต.อ.ต่อศักดิ์ แทบทำงานไม่เป็น ทำงานกันไม่ได้
ทนายตั้มบอกอีกว่า ทั้งนี้ฝากถึง พลตำรวจตรีจรูญเกียรติ ปานแก้ว ให้ดูตนเป็นตัวอย่างที่เปิดทั้ง 2 คนไม่เกรงใจพี่น้อง อยากถามท่านว่ากล้าหรือไม่ และอยากฝาก พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รักษาการ ผบ.ตร. ว่ากล้าไหม กล้าดำเนินคดีกับคนที่ไม่มีใครกล้าแตะหรือไม่ วันนี้ผมสละชีพแล้ว อนาคตตนอาจจะยิงตายก็ได้ที่มาแฉเรื่องนี้”
เมื่อถามว่าเรื่อง 2 มาตรฐานเป็นความรู้สึกของทนายตั้มเอง หรือเป็นเรื่องระเบียบทางราชการ ทนายตั้ม บอกว่า ไม่มีระเบียบที่จะให้คนใดคนหนึ่งถูกดำเนินคดีมากกว่าอีกคน แต่ที่ผ่านมากรณี พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จะเห็นได้ว่ามีการดำเนินการแข็งขัน มีการไปค้นบ้านหาหลักฐาน แต่กรณีพล.ต.อ.ต่อศักดิ์ ไม่มีอะไรเลย แทนที่ตำรวจจะไปค้นหาหลักฐานกลับไม่ทำอะไร ไม่มีการค้นบ้าน ไม่มีการหาหลักฐาน ทั้งที่ทรัพย์สินที่ซ่อนไว้ตนยังไปหาเจอเลย ทั้งร้านกาแฟ สนามยิงปืน
เมื่อถามว่าเรื่องเส้นเงินยืนยันได้ไหมว่าเป็นเส้นเงินจากพนันออนไลน์ ทนายตั้มบอกว่า ตนมั่นใจว่าเส้นเงินดังกล่าวมาจากเว็บพนัน เพราะหากไม่ใช่เงินจากเว็บพนันตกก็ต้องถูกฟ้องร้อง แต่ยืนยันว่าเป็นเงินจากเว็บพนัน BNK master ที่โอนให้พิมพ์วิไล และโอนให้บัญชีม้าทั้ง 2 เครือข่าย ซึ่งถ้าไม่มั่นใจตนคงไม่ออกมาพูด
เมื่อถามว่าการที่พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ถูกให้ออกจากราชการถือว่าเหมาะสมหรือไม่ หากมีความผิดจริง ทนายตั้มบอกว่า ในเรื่องวินัยตนก็ไม่รู้เรื่องระเบียบของตำรวจ แต่ตนรู้ว่ามันรีบร้อนไป เพราะหากตำรวจส่งสำนวนให้ ป.ป.ช. สถานะของพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จะเปลี่ยนจากผู้ต้องหาเป็นผู้ถูกร้องเรียน เมื่อยังมีการชี้มูลก็เท่ากับว่ายังไม่มีความผิด ซึ่งจะไม่สามารถมาตั้งเรื่องวินัยได้ ดังนั้นจึงเป็นได้ว่าเป็นการเร่งรีบดำเนินการ
การออกมาแฉเส้นเงินของพล.ต.อ.ต่อศักดิ์ ในครั้งนี้ จะให้มีการดำเนินคดีอย่างเท่าเทียม อย่าให้ประเทศไทยเป็น 2 มาตรฐาน ควรออกหมายเรียก หากไม่มาก็ออกหมายจับเหมือนกัน หากทำทันก็ให้ออกจากราชการไปด้วยเหมือนกัน ไม่ใช่เกรงใจคนนั้นคนนี้ หรือบิ๊กต่าย ก็ควรทำเรื่องนี้ให้สำเร็จ แล้วประชาชนจะสรรเสริญ ซึ่งเดือน ต.ค.นี้ท่านอาจจะได้เป็น ผบ.ตร.ตัวจริงก็ได้
การแถลงข่าวครั้งนี้ถือเป็นก๊อกสุดท้ายหรือไม่ ทนายตั้มบอกอีกว่า นี่แค่เริ่มต้น ยังมีอีกหลายก๊อก แต่ตนขอทำเรื่องนี้ให้สำเร็จก่อน เพราะยังมีเรื่องฟอนเฟะที่ตนเคยเกริ่นไว้หลายเรื่อง
เมื่อถามว่าหากไม่มีพยานหลักฐานจะสามารถดำเนินการกับ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ ได้หือไม่ ทนายตั้ม บอกว่า อย่าบอกว่าไม่มีหลักฐาน เพราะตนเอาเหยื่อไปป้อนอินทรีย์ไม่รู้กี่ครั้งแล้ว ซึ่งพรุ่งนี้ตนจะจำแนกตำรวจ 3 กลุ่มไปให้เลย ไม่ว่าบิ๊กเต่าจะรอรับหลักฐานของตนหรือไม่ แล้วดูว่าจะทำงานได้หรือเปล่า และยืนยันคำเดิมว่าหลักฐานขนาดนี้แล้วดำเนินคดีไม่ได้ไปชิงหมาเกิด
ครั้งแรกในรอบพันล้านปี! สองสิ่งมีชีวิตรวมกันเป็นสิ่งมีชีวิตเดียวอย่างแท้จริง
ราคาทองวันนี้ (23 เม.ย.2567) เปิดตลาด “ร่วง 850 บาท” แรงเทขายสินทรัพย์ปลอดภัย
“สารวัตรแจ๊ะ” ยื่นฟ้องทนายดัง โพสต์หมิ่นประมาทเรียกค่าเสียหาย 5 ล้าน