จากกรณีกลุ่มคนร้ายอ้างตัวเป็นตำรวจอุ้มชาวจีน รีดเงิน 2.5 ล้านบาทในโรงแรมแห่งหนึ่ง
ย่านดินแดง โดยอ้างว่า มีการกระทำความผิดมา ซึ่งวานนี้ (3 พ.ค.2567) มีการออกหมายจับผู้ต้องหา จำนวน 5 ราย และจับแล้ว 3 ราย
โดยตำรวจจับกุมผู้ต้องหาเพิ่มได้อีก 1 ราย ซึ่งทำหน้าที่เป็นล่าม คือ นายธีรชัย อายุ 36 ปี ที่ถูกตำรวจคุมตัวมาสอบปากคำที่สถานีตำรวจนครบาลดินแดงเมื่อคืนนี้ (4 พ.ค.2567) ทำให้ล่าสุดขณะนี้มีการควบคุมผู้ต้องหาตามหมายจับได้แล้ว 4 คน จากที่ถูกออกหมายจับ 5 คน
ต่อมา เมื่อวันที่ 4 พ.ค.67 มีรายงานข่าวแจ้งว่า ตำรวจชุดสืบสวนสอบสวนคลี่คลายคดี สามารจับกุม นายนภสินธุ์ หรือบิ๊ก อายุ 38 ปี หนึ่งในผู้ต้องหาแก๊งที่ถูกออกหมายจับไปก่อนหน้านี้ ทำให้ตอนนี้เหลือเพียง จ.ส.ต.วีรยุทธ เพชรรัตน์ รายเดียวที่ยังคงหลบหนี นอกจากนี้ทางตำรวจเตรียมขยายผลผู้ร่วมขบวนการอีก 6 รายมาดำเนินคดีให้ได้ต่อไป
ทั้งนี้ พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รองผบช.น. พร้อมด้วย พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. ร่วมประชุมติดตามความคืบหน้าคดี ที่ สน.ดินแดง ในเวลา 12.00 น.(4พ.ค.)นี้
ด้าน พลตำรวจตรี นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล แถลงความคืบหน้าทางคดีว่า จากการสอบปากคำผู้เสียหาย และการรวบรวมพยานหลักฐาน คาดว่ามีผู้ก่อเหตุร่วมกันประมาณ 11 คน
ส่วนผู้ต้องหารายแรกที่จับกุมตัวได้คือ ดาบตำรวจอรรถวุฒิ สมุนรัตนกุล หรือ ดาบบอส อดีต ผบ.หมู่งานสืบสวนของ สน.คันนายาว ลาออกจากราชการไปเมื่อวันที่ 1 ม.ค.2566 และประวัติ ถูกดำเนินคดีในข้อหาบุกรุกและลักทรัพย์เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2566 ซึ่งเจ้าตัวยอมรับเป็นบุคคลที่ปรากฏในภาพวงจรปิดจริง แต่ไม่ได้ร่วมกันกระทำความผิดกับกลุ่มผู้ก่อเหตุ
พลตำรวจตรี นพศิลป์ ยังบอกอีกว่า เหตุการณ์รีดเงินจากกลุ่มผู้เสียหายชาวจีน อาจมีคนชี้เป้าหรือ ทำหน้าที่เป็นนกต่อให้ข้อมูลกับกลุ่มผู้ต้องหา เนื่องจากการตรวจสอบพบว่า ใช้เวลาก่อเหตุเพียง 8 นาที หลังจากที่หญิงสาวชาวลาว ขึ้นไปบนห้องของชาวจีนผู้เสียหาย หลังมีการติดต่อเพื่อหาทางแลกเงินสดเอาไว้ใช้จ่ายในระหว่างที่อยู่ในประเทศไทย เนื่องจากมีเครื่องรูดเงินดิจิทัล
ส่วนประเด็นที่มีการตั้งข้อสังเกตว่า กลุ่มชาวจีนผู้เสียหายเป็นกลุ่มจีนเทาหรือไม่ ทำธุรกิจอะไร และทำไมถึงต้องจ่ายเงินให้กลุ่มกลุ่มผู้ต้องหา ที่อ้างตัวเป็นตำรวจ
ขณะนี้ ตำรวจอยู่ระหว่างการประสานกับ ตม.เพื่อตรวจสอบการเข้าออก และการพำนักอยู่ในประเทศไทยว่าทำธุรกิจอะไร
เบื้องต้นกลุ่มชาวจีนผู้เสียหาย ยืนยันว่า ที่ต้องยอมจ่ายเงินให้กับกลุ่มผู้ต้องหา เพราะถูกข่มขู่เป็นเวลานานและคิดว่ากลุ่มผู้ต้องหาอาจจะไม่ใช่ตำรวจ จึงกังวลเรื่องความปลอดภัย ซึ่งตำรวจยังต้องมีการตรวจสอบและล่าตัวคนร้ายเพิ่มเติม