นางจารุวรรณ วนาสิน อดีตภรรยาของ “หมอบุญ” และ น.ส.นลิน วนาสิน ลูกสาวของ “หมอบุญ” ซึ่งเป็นผู้ลงลายมือชื่อเป็นผู้ค้ำประกันในสัญญาต่างๆ เป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาลงวันที่ 22 พ.ย. 67 ข้อหา ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และร่วมกันให้กู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน เดินทางมา พร้อมด้วย ทนายความ เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวน ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล โดยมี พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. เเละ พนักงานสอบสวนร่วมสอบปากคำ ก่อนเข้าพบพนักงานสอบสวน
ผู้สื่อข่าวพยายามสอบถามข้อมูลจาก อดีตภรรยา เเละ ลูกสาว เเต่ทั้งคู่ไม่ตอบคำถามใดๆ แต่พูดสั้นๆ ว่า ไม่มีอะไรจะพูด ทั้งสองก้มหน้าและรีบเดินเข้าพนักงานสอบสวนทันที
ทนายความ นายชำนาญ ชาดิษฐ์ เปิดเผยว่ากับนักข่าวอ้างว่า ลูกความทั้ง 2 คน ถูก “หมอบุญ” ปลอมเเปลงลายเซ็นอย่างเเน่นอน เนื่องจากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า มีความผิดปกติ ทั้งลายเส้น น้ำหนักมือ รวมทั้งรูปเเบบอักษร จากลายเซ็นตัวของทั้งสองคนอย่างชัดเจน ถึงเเม้ว่าลายเซ็นต์ที่อ้างว่ามีการปลอมเเปลง ยังไม่มีการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ก็ตาม
เเต่เรื่องดังกล่าวทางทนาย เเละผู้เสียหายได้ไปเเจ้งความไว้ที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจตั้งเเต่เดือนพฤศจิกายน ปี 2566 เเต่ไม่ได้เปิดเผยให้เป็นข่าว เนื่องจากการปลอมลายเซ็นมีความเชื่อมโยงกับอีกหลายคดี ทั้งยังเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจขณะอยู่ระหว่างการพิจารณาในชั้นศาลเเพ่ง โดยศาลจะมีการนัดพร้อมคู่ความทั้งสองฝ่ายเพื่อสืบพยานในเรื่องการปลอมลายเซ็น เเละคดีอื่น ๆ เร็ว ๆ นี้
นายชำนาญ เปิดเผยถึง สถานะความสัมพันธ์ของ ”นางจารุวรรณ ภรรยา“ กับ “หมอบุญ“ ว่า มีการหย่าร้างกันนานเเล้ว เเละช่วงที่ปลอมเเปลงลายเซ็นเกิดขึ้นหลังมีการหย่าร้างกัน ช่วงเวลาที่มีการปลอมเเปลงลายเซ็นเพื่อทำสัญญาคำประกัน ตัวภรรยาหมอบุญ ก็อยู่ต่างประเทศ เเต่จำไม่ได้ว่า เดินทางไปช่วงไหน เพราะเดินทางบ่อย
ทั้งนี้นายชำนาญ ทนายความของอดีตภรรยาและลูกสาว “หมอบุญ” มั่นใจว่าคนที่ปลอมลายเซ็นเป็นหมอบุญ เพราะสัญญาในการกู้ยืม มีการระบุชื่อ ”หมอบุญ” อย่างชัดเจน ส่วนเหตุผลของการหย่าร้าง เเละเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเงินหรือไม่ ตนเองไม่ทราบ เพราะเป็นเรื่องภายในครอบครัว
ความเคลื่อนไหวที่กองบัญชาการตำรวจนครบาลขณะที่อดีตภรรยาและลูกสาวของ “หมอบุญ“ ได้เข้าให้การพบว่า มีผู้เสียหายได้เดินทางมาเช่นเดียวกัน เพื่อทำการคัดค้านประกันตัว เพราะกลัวว่าผู้ต้องหาทั้ง 2 คน จะหลบหนีเช่นเดียวกับ “หมอบุญ” ทั้งยังให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน โดยใช้นามแฝงว่า “นายหมี” ว่า ตนเองได้ร่วมลงทุนผ่านโบรกเกอร์บริษัทดังรายหนึ่ง ได้ร่วมลงทุนกับเพื่อนเป็นเงินมูลค่า 170 ล้านบาท “หมอบุญ“ อ้างว่าจะได้รับผลตอบแทนเป็นดอกเบี้ยร้อยละ 8% ต่อปี ซึ่งช่วงแรกมองว่าไม่สมเหตุสมผล แต่ “หมอบุญ” นำหุ้นของโรงพยาบาลธนบุรี มาใช้ในการค้ำประกันเพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือ ทั้งยังเห็นผ่านสื่อโฆษณา และเป็นหมอที่มีชื่อเสียง จึงกล้าลงทุน
ส่วนกรณีของอดีตลูกสะใภ้ของนายแพทย์บุญที่ตำรวจกันไว้เป็นพยานแต่ไม่ได้มีการแจ้งข้อกล่าวหา “นายหมี” มองว่า รู้สึกแปลกใจที่ไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหา เพราะเชื่อว่า อดีตลูกสะใภ้คนนี้มีส่วนรู้เห็นในขบวนการนี้ เพราะในเวลาจำนองหุ้น ตนเองได้เข้าไปร่วมระหว่างการโอนหุ้นด้วย พบว่ามีการใช้บัตรประชาชนตัวจริง และยืนยันทางโทรศัพท์กับเจ้าของหุ้นซึ่งมีพยานเป็นเจ้าหน้าที่ตลาดหลักทรัพย์ จึงเชื่อว่าทุกคนมีส่วนร่วมในกระบวนการนี้
ส่วนกรณีที่ลูกสาว และอดีตภรรยาปฏิเสธว่าไม่ได้มีส่วนรู้เห็น และถูกปลอมลายเซ็นนั้น “นายหมี” ระบุว่า ไม่เชื่อเพราะเป็นครอบครัวเดียวกันก็น่าจะมีส่วนรู้เห็น และที่มาประกันตัวในวันนี้ ก็กลัว อดีตภรรยา และลูกวสาว จะหนีไปต่างประเทศเช่นเดียวกับ “หมอบุญ” และเชื่อว่าทรัพย์สินคงอยู่กับ “หมอบุญ” แล้วที่ต่างประเทศ
ทั้งนี้ “นายหมี“ ได้เปิดเผยถึงข้อมูลมูลค่าผู้เสียว่ายังมีผู้เสียหายรายอื่นอีกหลายราย มีรายหนึ่งเสียหายมูลค่าสูงสุดถึง 2,000 ล้านบาท แต่ละคนที่ตนเองทราบมีมูลค่าตั้งแต่ 10 ล้านขึ้นไป เชื่อว่ามูลค่าเสียหายทั้งหมดถึง 10,000 ล้านบาทแน่นอน