จากกรณี ดีเอสไอ นำหมายค้นและหมายจับเข้าตรวจค้นเป้าหมาย 2 แห่ง คือ บ้านพัก นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช ในหมู่บ้านหรู ย่านถนนพรานนก-พุทธมณฑล แขวงบางพรหม เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ และ บ้านพัก นางวิลาวัลย์ พุทธสัมฤทธิ์ แม่ของนายสามารถ ที่บ้านพักในซอยพญานาค เขตราชเทวี กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 25 พ.ย.ที่ผ่านมา มีรายงานว่า พบเอกสารเอกสารกู้ยืมเงิน-ทำบุญ ลงชื่อบอสพอล ซึ่งแหล่งข่าวจาก ดีเอสไอระบุว่า มีข้อพิรุธหลายประการ
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่พบเอกสารที่ระบุวันที่ 12 พ.ย.67 จัดทำขึ้นโดยทนายรายหนึ่ง อ้างว่าจัดทำขึ้นที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ขอบอสพอลให้ยืนยันข้อเท็จจริงเกี่ยวกับข้อมูลการโอนเงินให้กับมารดานายสามารถ โดยเนื้อหาในรายละเอียดแจ้งว่า การรับโอนเงินรวม 2,200,000 บาท รวม 12 ครั้ง ซึ่งชี้แจงว่าเป็นการกู้ยืมเงินและนายสามารถชำระคืนเป็นเงินสดแล้ว บางรายการแจ้งว่าเป็นเงินที่ฝากไปทำบุญ บางรายการแจ้งว่าเป็นการกู้ยืมเงิน บางรายการทำบุญทอดกฐิน แถมมีหนังสือเอกสารว่าขอบคุณ มารดาของนายสามารถ ที่ได้กู้ยืมเงินและได้คืนหมดแล้ว
น้ำท่วมภาคใต้ : ยะลาท่วมสูง 2 เมตร สั่งเร่งอพยพประชาชน
จากพฤติการณ์หนังสือดังกล่าว แหล่งข่าวจากดีเอสไอบอกว่า มีข้อพิรุธหลายประการ เช่น
1.การยืมเงินเป็นการโอนเงินเข้าบัญชีมาโดยตลอดทุกๆ ครั้ง แต่ทำไมการคืนเงิน บอสพอล จึงรับว่าได้รับเงินคืนเป็นเงินสดครบถ้วน ไม่ใช่ปกติของวิญญูชน
2.การทำบุญซึ่งเป็นหลักแสน ย่อมต้องมีใบอนุโมทนาบัตร เป็นธรรมดาที่ต้องใช้ในการลดหย่อนภาษีเงินได้ ทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล เงินทำบุญถ้าอ้างไปถึงวัดใดแล้ว ย่อมจะเป็นพยานหลักฐานในการมัดตัวให้แน่นหนาขึ้น
3.เอกสารดังกล่าว เป็นบุคคลที่มีความรู้ทางด้านกฎหมายน่าจะพยามหาช่องทางในการช่วยซ่อนเร้นความจริงที่เกิดขึ้นจากการกระทำความผิดโดยมีเจตนาช่วยเหลือผู้กระทำผิดไว้เป็นการล่วงหน้า มีการติ๊กเครื่องหมายให้บอสพอลลงชื่อในจุดต่างๆ ที่ต้องการ ซึ่งย่อมไม่ใช่เอกสารที่แสดงเจตจำนงตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น แต่น่าจะเป็นเรื่องของบุคคลดังกล่าวต้องการช่วยเหลือลูกความมิให้ต้องรับโทษหรือรับโทษน้อยลง อันไม่ใช่หน้าที่ของทนาย
นอกจากนี้ ในเอกสารนี้คณะพนักงานสอบสวนยังเชื่อว่า มิใช่เอกสารของ นายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล หรือ “บอสพอล” เป็นผู้จัดทำขึ้น แต่อาจเป็นเอกสารที่บุคคลและคณะบุคคลร่วมกันในการจัดทำขึ้นอันเป็นเท็จเพื่อจะช่วยเหลือผู้กระทำความผิด หรือผู้ต้องหาที่กระทำความผิดเพื่อไม่ให้ต้องรับโทษ ตามมาตรา 189 ซึ่งถือเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา และประพฤติผิดในจรรยาบรรณทนายความ