ยังคงเป็นเรื่องที่จะต้องติดตามอย่างต่อเนื่อง สำหรับ “มหากาพย์คดีดิไอคอน” ซึ่งปัจจุบันพบยอดรวมผู้เสียหายที่เข้าให้ปากคำกับศูนย์รับแจ้งความร้องทุกข์ในคดีดิไอคอน กรุ๊ป ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติทั่วประเทศ มากกว่า 9 พันคน รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 3,000 ล้านบาท
พาไล่เรียงลำดับเหตุการณ์ของ “มหากาพย์คดีดิไอคอน” ตั้งแต่เริ่มต้นที่กลายมาเป็นประเด็นร้อน จนถึงความคืบหน้าล่าสุดในปัจจุบัน
จากขายออนไลน์สู่ข้อครหาแชร์ลูกโซ่
บริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด (The iCON GROUP) จดทะเบียนบริษัทวันที่ 1 มิ.ย. 2561 แจ้งประเภทธุรกิจการขายปลีกทางอินเทอร์เน็ต ปรากฎชื่อ “บอสพอล” วรัตน์พล วรัทย์วรกุล เป็นกรรมการ ซึ่งข้อมูลนำส่งงบการเงินระหว่างปี 2562 – 2566 รายได้รวม 5 ปีกว่า 10,613,171,867 บาท
โดยการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ เริ่มถูกตั้งข้อสังเกตุว่าเข้าข่าย “แชร์ลูกโซ่” ในช่วงปี 2567 และเริ่มมีกลุ่มผู้เสียหายที่เปิดบิลแล้วนำเอาสินค้าไปขายแต่ขายไม่ได้เริ่มออกมาร้องเรียนกับเพจต่างๆ กระทั่งกลายเป็นประเด็นร้อนแรงเมื่อ “กบ ไมโคร” หรือ นายไกรภพ จันทร์ดี นักร้องรุ่นใหญ่ ออกมาโพสต์เฟซบุ๊กแฉว่าร่วมลงทุนกับบริษัทขายออนไลน์แห่งหนึ่ง โดยลงทุนประมาณ 2 ล้านบาท จนสุดท้ายต้องเลิกลงทุน และยังบอกว่ามีผู้สูงอายุหลายคนนำเงินก้อนสุดท้ายมาลงทุนจนแทบสิ้นเนื้อประดาตัว พร้อมนิยมว่าการกระทำของบริษัทฯดงกล่าว อันตรายมากกว่า “ธุรกิจ 18 มงกุฏ”
หลังจากนั้นก็เริ่มมีผู้เสียหายทยอยออกมาพูดถึงปมปัญหาจากการลงทุนกับบริษัทดังกล่าวมากขึ้นเรื่อยๆ รวมทั้งบรรดาเพจเฟซบุ๊กชื่อดังหลายเพจ ต่างทยอยเปิดข้อมูลความไม่ชอบมาพากลในการดำเนินธุรกิจของบริษัทดังกล่าวด้วย โดยมีหลายกรณีที่ผู้เสียหายอ้างว่ามีคนลงทุนแล้วสูญเงินจนต้งจบชีวิตตัวเอง
นอกจากนั้นยังมีการแฉ โมเดลธุรกิจของบริษัทฯ ที่แม่ทีมส่วนใหญ่จะเน้นดึงคนเข้าร่วมคอสอบรม-สัมมนา ก่อนชวนเบิดบิลขายสินค้า หรือเปิดดีลเลอร์ และชักชสนคนอื่นๆมาร่วมอบรมต่อไปเป็นทอดๆ จนถูกมองว่าวิธีการคล้าย “แชร์ลูกโซ่” แม้จะมีการขายสินค้า แต่ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าสินค้าไม่ได้รับความนิยมอย่างที่โฆษณา หรือขายฝันไว้ บางคนเปิดบิลแล้วขายสินค้าไม่ได้ต้องเอาไปกินเอง หรือแจกจ่ายคนรู้จัก รวมทั้งเอาไปแลกผักมากินแทน ส่งผลให้เหล่าผู้เสียหายจำนวนมากเริ่มทยอยเข้าร้องเรียนต่อตำรวจ
เตือน “โนโรไวรัส”ระบาดหลังพบปนเปื้อนน้ำในงานกีฬาสีโรงเรียนป่วยรวม 1,436 ราย
“เบี้ยผู้สูงอายุ 2568” เช็กวันโอนเข้าบัญชี และอัตราการจ่ายเบี้ยตามเกณฑ์อายุ
กองทัพ "หมูเด้ง" บุก! ลูกเล่นใหม่สุดน่ารักจาก Google
“มหากาพย์คดีดิไอคอน”
หลังจากเรื่องกลายเป็นประเด็นร้อนที่คนในสังคมให้ความสนใจ “บอสพอล” วรัตน์พล วรัทย์วรกุล ซีอีโอเจ้าของบริษัท The iCON GROUP ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวยืนยันว่า ตลอดระยะเวลาที่ผมทำธุรกิจ ผ่านระบบตัวแทนภายใต้ บริษัทดิไอคอนกรุ๊ป มาเป็นระยะเวลา 6 ปีกว่า เชื่อมั่นว่าดำเนินธุรกิจอย่างถูกต้องโปร่งใสมาโดยตลอด ไม่คิดว่าขายของออนไลน์แบบนี้ผิดกฎหมาย พร้อมยืนยันว่า ตัวเองเป็นผู้บริสุทธิ์
ขณะเดียวกันในโลกออนไลน์ ก็เริ่มมีการขุดข้อมูลบริษัทดังกล่าวออกมาเผยแพร่ โดยเฉพาะข้อมูลของบรรดาเหล่า “บอส ดิไอคอน” ซึ่งมีคนมีชื่อเสียงรวมอยู่ด้วย 3 คนหลักๆ คือ
- “บอสกันต์” กันต์ กันตถาวร นั่งตำแหน่ง CMO (Chief Marketing Officer) ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด
- “บอสแซม” ยุรนันท์ ภมรมนตรี" นั่งตำแหน่ง CRO(Chief Research Officer) ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนา และวิจัยผลิตภัณฑ์
- “บอสมีน” พีชญา วัฒนามนตรี นั่งตำแหน่ง CCO (Chief Communications Officer) ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กร
กระทั่ง บริษัทดิไอคอนกรุ๊ป ต้องออกแถลงการณ์ชี้แจงว่า “กันต์ กันตถาวร-แซม ยุรนันท์-มิน พีชญา” ไม่ได้เป็นผู้ถือหุ้นบริษัท เป็นเพียงผู้ช่วยทำการตลาดสินค้า
ขณะที่ “บอสดารา” ทั้ง 3 คนต่างออกมาให้ข่าวยืนยันในความบริสุทธฺของตัวเอง เช่นเดียวกับทาง บริษัทดิไอคอนกรุ๊ป ก็ได้ออกแถลงการณ์ “กันต์ กันตถาวร-แซม ยุรนันท์-มิน พีชญา” ไม่ได้เป็นผู้ถือหุ้นบริษัท เป็นเพียงผู้ช่วยทำการตลาดสินค้า แต่กลับไม่สามารถเบรกกระแสสังคมได้
ประกอบกับในการให้สัมภาษณ์ของ “บอลพอล” และการตรวจสอบเส้นทางการเงิน พบความเชื่อมโยงของ “บอสดารา” ทั้ง 3 คนกับ บริษัทดิไอคอนกรุ๊ป ต่างจากดารา-นักแสดงคนอื่นที่ร่วมงานกับ บริษัทดิไอคอนกรุ๊ป ในฐานะพรีเซนเตอร์สินค้า
ปิดเกม 18 บอสดิไอคอน!
หลังจากกลายเป็นประเด็นร้อน และมีผู้เสียหายทยอยออกมาร้องเรียนอย่างต่อเนื่อง ตำรวจำจึงได้มีการออกหมายจับผู้บริหารพร้อมเหล่าบอสใหญ่-บอสดารา บริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำนวน 18 คน ประกอบด้วย ในข้อหา 2 ข้อหา คือ 1. ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน 2.ความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์
- นายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล หรือ “บอสพอล”
- น.ส.ปัญจรัศม์ กนกรักษ์ธนพร หรือ “บอสตัน”
- นายฐานานนท์ หิรัญไชยวรรณ หรือ “บอสหมอเอก”
- น.ส.นัฐปสรณ์ ฉัตรธนสรณ์ หรือ “บอสสวย”
- น.ส.ญาสิกัญจณ์ เอกชิสนุพงศ์ หรือ “บอสโซดา”
- นายนันท์ธรัฐ เชาวนปรีชา หรือ “บอสโอม”
- นายธวิณทร์ภัส ภูพัฒนรินทร์ หรือ “บอสวิน”
- นายหัสยานนท์ เอกชิสนุพงศ์ หรือ “บอสป๊อบ”
- นายยุรนันท์ ภมรมนตรี หรือ “บอสแซม” (บอสดารา)
- นายกันต์ กันตถาวร หรือ “บอสกัน” (บอสดารา)
- น.ส.พิชญา วัฒนามนตรี หรือ “บอสมิน” (บอสดารา)
- นางวิไลลักษณ์ เจ็งสุวรรณ “บอสออย”
- นายจิรวัฒน์ แสงภักดี
- นายธนะโรจน์ ธิติจริยาวัชร์ หรือ “บอสอ๊อพ”
- นายเชษฐ์ณภัฎ อภิพัฒนากานต์ หรือ “บอสทอมมี่”
- น.ส.เสาวภา วงษ์สาขา หรือ “บอสอูมมี่”
- น.ส.กนกธร ปูรณะสุคนธ์ หรือ “บอสแม่หญิง”
- นายกลด เศรษฐนันท์ หรือ “บอสปีเตอร์”
ก่อนที่ในเวลาต่อมาภายหลังจากที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) รับคดีดังกล่าวเป็นคดีพิเศษ ก็ได้แจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมกับบอสดิไอคอนทั้ง 18 คน ในความผิดตาม พ.ร.ก.กู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน (แชร์ลูกโซ่) และ พ.ร.บ.ธุรกิจขายตรงและการตลาดแบบตรง
โดยตำรวจได้ขออำนาจศาลฝากขัง ผู้ต้องหาทั้ง 18 ราย ตั้งแต่วันที่ 17 ต.ค. และวันที่ 18 ต.ค.ที่ผ่านมา พร้อมคัดค้านการประกันตัว จนถึงปัจจุบัน
อย่างไรก็ตามเหล่า “บอสดิไอคอน” ยังคงต่อสู้ในแนวทางที่ว่า การทำธุรกิจของบริษัท ไม่เข้าข่ายฉ้อโกงประชาชน หรือเป็นแชร์ลูกโซ่ อย่างที่ถูกกล่าวหา โดยมีเนื้อความจากจดหมายของ “บอสพอล” ที่อ้างว่าจนถึงวันนี้ยังไม่มีผู้เสียหายจากบริษัทฯ เพราะคนที่ออกมาแจ้งความเอาผิดกับบริษัทฯ นั้นไม่มีสักคนที่ซื้อสินค้าจากบริษัทแล้วไม่ได้สินค้า ไม่มีใครที่ขายของมีกำไรในระบบบแล้วบริษัทไม่จ่ายเงินให้ หรือไม่มีใครเลยที่ได้โปรโมชั่นทริปก่องเที่ยวแล้วบริษัทไม่พาไปเที่ยว
ดังนั้นเหล่า “บอสดิไอคอน” จึงยกเรื่องนี้เป็นข้อต่อสู้หลักว่าไม่ใช่การฉ้อโกงประชาชน โดยยืนยันว่า ซื้อสินค้าก็ได้สินค้า และได้ผลตอบแทนอื่นๆ ตามที่บริษัทสัญญาไว้ ส่วนกรณีคนที่ซื้อสินค้าไปแล้วขายไม่ได้ โดยบอกว่าสินค้าไม่มีคุณภาพนั้น ทางบริษัทฯก็ยืนยันว่าได้ส่งของให้ตามสัญญา ส่วนจะขายได้ไม่ได้ก็เป็นเรื่องของดีลเลอร์ ส่วนหากบริษัทจะมีการสัญญาว่าจะช่วยขายแล้วขายไม่ได้ ก็ควรจะต้องเป็นเรื่องความผิดทางแพ่ง ไม่ใช่นำคนมาขังในข้อหาฉ้อโกง
แฉสินบน “เทวดา” เซ่นด้วยคริปโต
หลังจากกรณีของบริษัทดิไอคอนกรุ๊ปกลายเป็นประเด็นร้อน และมีผู้เสียหายทยอยออกมาร้องเรียนอย่างต่อเนื่อง และมีการแฉพฤติกรรมของเหล่า “บอสดิไอคอน” อย่างต่อเนื่อง โดยกรณีที่น่าสนใจคือ นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด ได้พาบุคคลหนึ่งที่อ้างว่าเป็นสายลับคนใกล้ตัว “บอสพอล” ออกมาร่วมแฉว่ามีการซุกเงินมหาศาล มีการติดสินบนเจ้าหน้าที่ หรือ “สินบนเทวดา”
โดยอ้างว่าอยู่ในเครือข่ายของดิไอคอนตั้งแต่สมัยก่อตั้งไปดูระบบหลังบ้าน และอ้างว่ามีข้อมูลว่าบริษัทนี้ รวมถึงบอสมีความใกล้ชิดกับผู้ใหญ่ในรัฐบาล เป็นผู้ใหญ่ระดับสูงในรัฐบาล มีการดูแลการใช้คำว่า “เทวดา” มีการเซ่นไหว้เทวดา โดยใช้เงินสด ฟอกแปลงเป็นสกุลเงินดิจิทัล หรือ คริปโต โดยบอกว่ามีการจ่ายเทวดาตั้งแต่ปี 2563 รวมแล้วประมาณหมื่นล้าน เงินที่จ่ายไปทั้งหมดเทวดาเขาจะคุ้มครองช่วยเหลือดูแล 4 หน่วยงานหลักๆ ให้ก็คือ ดีเอสไอ สอท.ปคบ.และ สคบ.
ซึ่งก็ทำให้คนในสังคมต่างคาดการณ์ถึงตัว “เทวดา” คนดังกล่าวว่าเป็นใครกันแน่ รวมทั้งมีการตั้งคำถามไปถึงหน่วยงานต่างๆ ที่ถูกพาดพิงจากสายลับคนดังกล่าว
ก่อนที่เรื่องทุกอย่างจะกลับกลายเป็นว่า บุคคลที่อ้างว่าเป็น “สายลับ” คนดังกล่าว มีการรับสารภาพว่าเรื่องดักงล่าวให้ข้อมูลมั่ว ไม่มีที่มา เป็นการอุปโหลกขึ้นมา โดยอ้างว่าเป็นการถามจากเพื่อนและเสิร์ชหาทางเว็บไซต์ โดยที่ไม่มีข้อเท็จจริง ทำให้เกิดความเสียหายต่อหลายองค์กรที่มีการพาดพิงถึง และจากกรณีดังกล่าวก็ส่งผลให้ เจ้าหน้าที่ตำรวจบก.ปอท. ออกหมายจับนายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด ในข้อหาพ.ร.บ.คอม กรณีโพสต์ข้อมูลเท็จในระบบเกี่ยวกับเงินดิจิตอลที่เกี่ยวข้องกับคดีดิไอคอน ซึ่งอ้างอิงข้อมูลจาก “สายลับ”คนดังกล่าวด้วย
แม้สุดท้ายแล้วเรื่องสินบน “เทวดา” เซ่นไว้ด้วยคริปโต จะกลายเป็นเรื่องการอุปโหลกขึ้นมา แต่ประเด็นที่เกิดขึ้นก็ส่งผลให้คนในสังคมคลางแคลงใจหน่วยงานที่ถูกพาดพิงอย่างปฏิเสธไม่ได้ เนื่องจากการที่ “บอสพอล” และพรรคพวกสามารถดำเนินธุรกิจได้หลายปีโดยแทบจะเรียกได้ว่ารอดสายตาจากการตรวจสอบของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ก็ทำให้ประชาชนเชื่อว่ามีผู้มีอำนาจอยู่เบื้องหลังหรือไม่
นักร้องเรียน-นักการเมือง ต้องสงสัยตบทรัพย์
นอกจากการดำเนินคดีกับ บอสดิไอคอนทั้ง 18 คน ในข้อหา 2 ข้อหา คือ 1. ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน 2.ความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ และในความผิดตาม พ.ร.ก.กู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน (แชร์ลูกโซ่) และ พ.ร.บ.ธุรกิจขายตรงและการตลาดแบบตรงแล้ว
ก็มีคดีความที่เกี่ยวเนื่องกับกรณีดิไอคอนเพิ่มเติมอีกหลายคดี โดยเป็นผลพวงที่เกิดจาก “คลิปเสียง” ที่หลุดออกมาหลังเรื่องราวของดิไอคอนเริ่มเป็นประเด็นร้อนแรง โดยเป็นคลิปเสียงของ “บอสพอล” พูดคุยกับนักการเมืองรายหนึ่ง อักษรย่อ ส. ในลักษณะมีการขอให้ช่วยเหลือ ขณะที่นักการเมืองรายดังกล่าวมีการพูดในลักษณะขอให้จ่ายเงินดูแลเพิ่มเติม และยังมีคลิปเสียงเพิ่มเติมที่มีการอ้างว่ามีอำนาจสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.)
จนนำมาสู่การออกหมายจับ นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และอดีตสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) พร้อมด้วยนางวิลาวัลย์ แม่ของนายสามารถ ฐานข้อหาว่าร่วมกันฟอกเงินและสมคบกันฟอกเงิน หลังจากการสืบสวนปรากฏพยานหลักฐานว่าบัญชีเงินฝากธนาคารของนางวิลาวัลย์ มีการโอนเงินมาจากหลายแหล่งเข้ามาในบัญชีเงินฝากธนาคารประมาณกว่า 100 ล้านบาท ซึ่งในจำนวนดังกล่าวเป็นการรับโอนเงินจาก “บอสพอล” จำนวน 2.5 ล้านบาท และจาก “บอสปีเตอร์” ประมาณ 5 แสนบาท โดยตำรวจเชื่อว่า นายสามารถ ใช้บัญชีของแม่เป็นบัญชีม้า รับเงินจาก “บอสดิไอคอน” และยังพบเส้นเงินกว่า 30 ล้านบาท ที่อ่จเกีย่วข้องกับการพนันด้วย
ขณะเดียวกันก็มีกรณีนักร้องเรียนหญิงรายหนึ่งอ้างเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านแชร์ ตบทรัพย์จาก ดิไอคอนกรุ๊ป 10 ล้านบาท โดยมีการเชื่อมโยงไปถึง น.ส.กฤษอนงค์ สุวรรณวงศ์ เจ้าของเพจกฤษอนงค์ต้านโกง และยังมีกรณี น.ส.กฤษอนงค์ ตบทรัพย์ 20 ล้านออกรายการชื่อดังรายการหนึ่ง และยังมีคลิปเสียง น.ส.กฤษอนงค์ พาดพิงชื่อ น.ส.จิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี โอยอ้างว่าให้อำนาจเบ็ดเสร็จในการคุม สคบ. แลกเอาเงินเดือนให้พ่อของรัฐมนตรี
จนสุดท้ายตำรวจได้ออกหมายจับ น.ส.กฤษอนงค์ ในข้อหากรรโชกทรัพย์-เป็นตัวกลางเรียกรับสินบน ก่อนที่จะมีการนำตัวฝากขัง พร้อมคัดค้านการประกันตัวจนถึงปัจจุบัน
และยังมีกรณีคลิปเสียง นายรัฐภูมิ โตคงทรัพย์ หรือ “ฟิล์ม รัฐภูมิ” นักแสดงชื่อดัง ร่วมกับ น.ส.กฤษอนงค์ พยายามกรรโชกทรัพย์กรณีเรียกรับเงินจากบอสบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำนวน 20 ล้านบาท โดยตำรวจมีการออกหมายเรียก “ฟิล์ม รัฐภูมิ” เข้ามาชี้แจงและแจ้งข้อหาพยายามกรรโชกทรัพย์ และข้อหาหมิ่นประมาท “หนุ่ม กรรชัย” โดย “ฟิล์ม รัฐภูมิ” ได้เข้าให้การตามหมายเรียก และยังคงให้การปฏิเสธทั้ง 2 ข้อหา
ยึดทรัพย์สินบอสดิไอคอน
ทั้งนี้ระหว่างที่คดีดิไอคอน กำลังดำเนินการในชั้น คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ในดานการตรวจสอบทรัพย์สินแล้เว้นทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับบริษัทดิไอคอนมีการดำเนินการโดยสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ป.ป.ง.) คู่ขนานกับคดีในชั้นดีเอสไอ
โดยที่ผ่านมา เลขาธิการ ป.ป.ง. และคณะกรรมการธุรกรรมมีคำสั่งให้ยึดหรืออายัดทรัพย์สินของบริษัท ดีไอคอนกรุ๊ป จำกัด กับพวกไว้ชั่วคราว จำนวนหลายรายการ ตามคำสั่งที่ ย. 214/2567 ลงวันที่ 15 ต.ค. 2567, คำสั่งที่ ย. 222/2567 (เพิ่มเติม) ลงวันที่ 17 ต.ค. 2567, คำสั่งที่ ย. 223/2567 (เพิ่มเติม) ลงวันที่ 18 ต.ค. 2567 โดยทั้ง 3 คำสั่งดังกล่าวมีการยึดหรืออายัดทรัพย์สินรวมจำนวน 52 รายการ มูลค่ารวมประมาณ 176,044,615 บาท
หลังจากนั้นได้มี คำสั่งที่ ย.224/2567 ลงวันที่ 25 ต.ค. 2567 ให้ยึดและอายัดทรัพย์สิน ประเภทหุ้นในบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ หน่วยลงทุน และสินทรัพย์ดิจิทัล เงินในบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ ตราสารหนี้ และเงินในบัญชีเงินฝากธนาคาร รวมทรัพย์สินที่ยึดและอายัดทั้งสิ้น 89 รายการ มูลค่าประมาณ 144,275,765 บาท
ทั้งนี้รวมทั้ง 4 คำสั่ง มูลค่าทรัพย์สินที่ ป.ป.ง. มีการยึดหรืออายัดไว้ รวมเป็นเงินประมาณ 320,320,308 บาท
กระทั่งล่าสุดวันที่ 16 ธ.ค.ที่ผ่านมา ที่ประชุมคณะกรรมการธุรกรรมได้พิจารณาเห็นชอบให้ดำเนินการกับทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดคดีบริษัท ดีไอคอน กรุ๊ป จำกัด กับพวก มีมติให้พนักงานอัยการยื่นคำร้องขอให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินจำนวน 103 รายการ รวมมูลค่าประมาณ 286 ล้านบาท
และมีมติให้เพิกถอนการยึดอายัดทรัพย์สินจำนวน 40 รายการ มูลค่ารวมประมาณ 29 ล้านบาท เนื่องจากผู้มีส่วนได้เสียสามารถแสดงหลักฐานว่าเงินหรือทรัพย์สินที่ถูกดำเนินการไม่ไช่ทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด
ส่วนทรัพย์สินที่ ป.ป.ง.มีมติให้พนักงานอัยการยื่นคำร้องขอให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินเบื้องต้น มูลค่าประมาณ 286 ล้านบาทนั้น ป.ป.ง.จะมีการส่งเรื่องให้พนักงานอัยการยื่นคำร้องขอต่อศาลแพ่งให้มีคำสั่งให้นำทรัพย์สินไปคืนหรือชดใช้คืนให้กับผู้เสียหายตามสัดส่วนความเสียหายแทนการสั่งให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินต่อไป
ขณะที่ยอดปัจจุบันพบยอดรวมผู้เสียหายที่เข้าให้ปากคำกับศูนย์รับแจ้งความร้องทุกข์ในคดีดิไอคอน กรุ๊ป ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติทั่วประเทศ มากกว่า 9 พันคน รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 3 พันล้านบาท
ลุ้นสั่งฟ้อง-ปล่อยตัว
ส่วนความคืบหน้าเรื่องของการยื่นขอประกันตัวผู้ต้องหานั้น นายวิฑูรย์ เก่งงาน ทนายความของบอสพอล ให้ข้อมูลว่า จะต้องรอดูก่อนว่าอัยการจะส่งฟ้องทันตามกำหนดฝากขังหรือไม่ โดยจะแบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกคือผู้ต้องหาทั้ง 17 คน ซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ 8 ม.ค. 2568 และกลุ่มที่สอง เป็นกรณี “บอสพอล” ซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ 9 ม.ค. 2568 ทั้งนี้หากอัยการส่งฟ้องไม่ทัน ผู้ต้องหาก็จะได้รับการปล่อยตัว แต่หากส่งฟ้องทันทนายความก็จะมีการยื่นขอประกันอีกครั้งในวันที่มีการส่งสำนวนฟ้อง
ซึ่งยังต้องรอลุ้นกันต่อไปว่าพนักงานสอบสวนจะสามารถรวบรวมพยานหลักฐานให้อัยการสามารถส่งฟ้อง “บอสดิไอคอน” ทั้ง 18 คน ทันตามกำหนดฝากขังผัดสุดท้ายหรือไม่ และยังต้องรอลุ้นกันว่าคำขอประกันตัวของบอสดิไอคอนจะทำให้ “บอสดิไอคอน” ทั้ง 18 คนได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวหรือไม่!