ตลอดปี 2567 บุคคลที่มีบทบาทในการตรวจสอบและร้องเรียนความไม่ชอบมาพากลในสังคม กลับถูกร้องจนถูกจับเสียเอง โดย 2 บุคคลที่มีชื่อเสียงในบทบาทนี้คือ “ศรีสุวรรณ จรรยา” และ “ษิทรา เบี้ยบังเกิด” ที่ต้องเผชิญข้อกล่าวหาจนถูกจับกุมในคดีที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดกฎหมาย
หมายเหตุ : เนื้อหานี้ จัดทำขึ้นจากข้อมูลข่าว และยังต้องรอผลการพิจารณาคดีในชั้นศาลเพื่อยืนยันความถูกต้องของข้อกล่าวหา ผู้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ยังเป็นผู้บริสุทธิ์ และยังสามารถชี้แจง รวมถึงใช้สิทธิ์ต่อสู้ในชั้นศาลได้
บุกจับ “ศรีสุวรรณ” ถูกกล่าวหาข่มขู่เรียกเงิน
ช่วงปลายเดือนมกราคม 2567 เจ้าหน้าที่สนธิกำลังเข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย 3 จุด ก่อนจับกุม “ศรีสุวรรณ จรรยา” ที่ถูกกล่าวหาร่วมขบวนการนักร้อง ข่มขู่เรียกเงินจากเจ้าหน้าที่รัฐ
นายณัฏฐกิตติ์ ของทิพย์ อธิบดีกรมการข้าว เป็นเจ้าหน้าที่รัฐที่เข้าร้องเรียนกับตำรวจว่าถูกข่มขู่เรียกเงิน 3 ล้านบาท ก่อนต่อรองเหลือ 1.5 ล้านบาท แลกกับการไม่ร้องเรียนเรื่องทุจริต จากพยานหลักฐานทำให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบพบบุคคล 3 รายมีพฤติกรรมเรียกรับเงิน
“ศรีสุวรรณ” ถูกเจ้าหน้าที่ซ้อนแผนจับกุม ให้ผู้เสียหายนำเงิน 500,000 บาทไปห้อยไว้ที่หน้าบ้าน เมื่อพบความเคลื่อนไหวว่ามีการนำเงินเข้าไปในบ้าน เจ้าหน้าที่จึงได้แสดงตัวเข้าจับกุม ส่วนนักร้องเรียนชื่อดังพยายามวิ่งนำเงินไปโยนทิ้ง แต่เจ้าหน้าที่วิ่งไล่ไปได้ทัน และทำการควบคุมตัวเขาได้ในที่สุด
เก็บหลักฐาน 4 เดือน ก่อนซ้อนแผนจับกุม
นอกจากนั้น ตำรวจยังเข้าควบคุมตัว “ยศวริศ ชูกล่อม” หรือ “เจ๋ง ดอกจิก” พร้อมกับ น.ส.พิมณัฏฐา อดีตผู้สมัคร สส.พรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่งทั้ง 3 คนถูกกล่าวหาว่าร่วมกันข่มขู่เรียกรับเงินจากอธิบดีกรมการข้าว เพื่อแลกกับการยุติการร้องเรียน
ค่ำวันเดียวกัน พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และ นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เผยเบื้องหลังการทำงาน ใช้เวลานานกว่า 4 เดือนในการรวบรวมพยานหลักฐาน จนนำไปสู่การจับกุมครั้งนี้
โดยอธิบดีกรมการข้าว ถูกข่มขู่เรียกรับเงินมาตั้งแต่กลางปี 2566 แม้เจ้าตัวจะอ้างว่ามั่นใจในความบริสุทธิ์ แต่กลัวจะได้รับความเสียหาย จึงได้เจรจาและมีการจ่ายเงินบางส่วน ต่อเนื่องจนมาถึงต้นปี 2567
พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวด้วยว่า จากการตรวจสอบยังมีเรื่องบัญชีม้าเข้าไปเกี่ยวข้อง โดยนายศรีสุวรรณ ให้การปฏิเสธ แม้ระหว่างจับกุมจะยอมรับว่า มีคนนำเงินมาให้จริง แต่เป็นการยัดเยียดให้
หลังถูกสอบปากคำ “ศรีสุวรรณ” ได้รับการประกันตัวเช่นเดียวกับ “เจ๋ง ดอกจิก” เขายังเปิดเผยกับสื่อมวลชนด้วยว่า รู้สึกตกใจ แต่ไม่ทำให้เสียขวัญ และจะขอทำหน้าที่ตรวจสอบผู้มีอิทธิพลต่อไป
“เจ๋ง ดอกจิก – พิมณัฐา” ยืนยันบริสุทธิ์ ไม่เกี่ยวแก๊งตบทรัพย์
1 กุมภาพันธ์ 2567 “เจ๋ง ดอกจิก” และ “พิมณัฐา” แถลงข่าวกับสื่อ ยืนยันในความบริสุทธิ์ของตัวเอง โดยระบุว่า หลังถูกจับกุมและถูกกล่าวหาว่าใช้อำนาจเจ้าหน้าที่รัฐเรียกรับผลประโยชน์ ทำให้ได้รับความเสื่อมเสียอย่างมาก
เขายังได้ชี้แจงว่า เคยตรวจสอบพบข้อพิรุธในโครงการของกรมฝนหลวง เรื่องการบินเกษตร และได้แถลงข่าวที่มีข้อมูลตรงกันกับนายศรีสุวรรณ กระทั่งมีพรรคพวกติดต่อมาว่า ไม่อยากให้ยุ่งกับอธิบดีกรมการข้าว เพราะเป็นคนเสื้อแดงเหมือนกัน ส่วน น.ส.พิมณัฐา เพียงช่วยประสานงาน และไม่ใช่แก๊งตบทรัพย์แต่อย่างใด
“เจ๋ง ดอกจิก” ยังได้ยกพานธูปเทียนขึ้นมาสาบานด้วยว่า ไม่ได้ใช้อำนาจเจ้าหน้าที่รัฐโดยมิชอบเรียกรับผลประโยชน์เหมือนที่ถูกกล่าวหา
เอกสาร 4,490 แผ่น ส่งอัยการพิจารณาฟ้อง 6 ผู้ถูกกล่าวหา
กองบังคับการปราบปราม สืบสวนขยายผลแจ้งข้อกล่าวหาผู้เกี่ยวข้อง 6 คน สรุปสำนวนเป็นเอกสาร 4,490 แผ่น ส่งต่ออธิบดีอัยการ สำนักคดีปราบปรามการทุจริตพิจารณาต่อไป
มีรายงานว่า ในสำนวนคดีของตำรวจ นายยศวริศ ชูกล่อม หรือ “เจ๋ง ดอกจิก” เป็นผู้ถูกกล่าหาที่ 1 ถูกดำเนินคดี 6 ข้อหา
- ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่
- เจ้าพนักงานของรัฐ เรียกรับประโยชน์
- ร่วมกันเรียกรับทรัพย์สิน
- ข่มขืนใจผู้อื่นให้ยอมมอบทรัพย์สิน
- ข่มขู่จะเปิดความลับให้ผู้อื่นยอมจ่ายทรัพย์สินให้
- ร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้กลัวจะเกิดอันตราย
ขณะที่ นายศรีสุวรรณ จรรยา และผู้ต้องหาคนอื่น ๆ อีก 4 คน ถูกดำเนินคดีเหมือนกันรวม 6 ข้อหา ประกอบด้วย
- สนับสนุนเจ้าพนักงานของรัฐละเว้นการปฏิบัติหน้าที่
- สนับสนุนเจ้าพนักงานของรัฐ เรียกรับทรัพย์สิน
- เรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินจูงใจตอบแทนเจ้าพนักงาน
- ขู่ประทุษร้ายผู้อื่นให้ยอมเพื่อตนได้ประโยชน์เป็นทรัพย์สิน
- ข่มขืนใจขู่เข็ญว่าเปิดเผยความลับเพื่อให้ได้ทรัพย์สิน
- ร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำผิดตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป
25 กรกฎาคม 2567 พนักงานอัยการสำนักงานคดีปราบปรามการทุจริตได้เลื่อนการสั่งคดีออกไปเป็นวันที่ 28 สิงหาคม 2567 เนื่องจากการสอบสวนยังไม่แล้วเสร็จ แต่จากการตรวจสอบข้อมูลพบว่า อัยการมีการเลื่อนสั่งคดีอีกครั้งในเวลาต่อมา
รวบ “ทนายตั้ม” ถูกกล่าวหาคดีฉ้อโกง 71 ล้าน
“ษิทรา เบี้ยบังเกิด” หรือ “ทนายตั้ม” ผู้ก่อตั้งมูลนิธิทีมงานทนายประชาชน เพื่อช่วยเหลือทางด้านกฎหมายให้กับชาวบ้าน และเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง หลังว่าความในมหากาพย์คดี “หวย 30 ล้านบาท” จนทำให้ “ลุงจรูญ” ชนะคดี “ครูปรีชา”
ช่วงตุลาคม 2567 “ทนายตั้ม” ออกรายการโหนกระแสและถูกถามเกี่ยวกับความรู้สึก กรณีที่ถูกเรียกว่าเป็นทนายสีเทา ใส่แบรนด์เนม อวดชีวิตร่ำรวย ก่อน
เขาบอกว่า การทำสำนักงานทนายความทำรายได้ 1 ปีไม่ต่ำกว่า 20 ล้านบาท และแจงภาษีครบถ้วน ขณะเดียวกันยังมีลูกความเป็นมหาเศรษฐีอยู่ต่างประเทศ ได้รับมอบหมายให้ดูแลธุรกิจในประเทศไทย รับเงินเดือนหลายแสนบาท และยังเคยได้รับเงินก้อนใหญ่ 2 ล้านยูโร หรือประมาณ 71 ล้านบาท ซึ่งเป็นเงินที่ให้ด้วยความรัก ความชอบ
ช่วงเวลาเดียวกัน มีการเปิดเผยเรื่องราวของ “พี่อ้อย” หรือ “จตุพร อุบลเลิศ” เธอเคยถูกแจ็กพอต ล็อตโต้ได้เงินมูลค่ากว่า 5,700 ล้านบาท เป็นเศรษฐินีชาวไทยที่ใช้ชีวิตอยู่กับสามีในฝรั่งเศส ซึ่งเป็นบุคคลที่ “ทนายตั้ม” อ้างว่าสนิทสนมกับเธอเป็นอย่างดี
ขณะเดียวกัน “สนธิ ลิ้มทองกุล” ผู้ก่อตั้งสื่อในเครือผู้จัดการ ที่ได้รับข้อมูลโดยตรงจาก “พี่อ้อย” เปิดเผยข้อมูลอีกด้าน โดยพบว่าเงิน 71 ล้านบาทที่ให้กับ “ทนายตั้ม” เป็นการลงทุนทำธุรกิจหวยออนไลน์ แต่ทำไม่สำเร็จ จึงได้มีการยกเลิกสัญญาและทวงเงินคืน
สเน่หา หรือ ฉ้อโกง ? ท้ากินเยี่ยว 71 แก้ว
เรื่องราวเงิน 71 ล้านบาทแตกต่างกันอย่างสุดขั้ว ทำให้สังคมติดตามหาที่มาว่า “ทนายตั้ม” ได้เงินจำนวนนี้มาโดย “สเน่หา” หรือ “ฉ้อโกง”
การเปิดเผยข้อมูลจาก “สนธิ” ยังส่งผลให้ “ทนายตั้ม” โพสต์เฟซบุ๊กท้าทาย “พี่สนธิลงข่าวว่าผมฉ้อโกง เงิน 71 ล้าน พนันกันไหมใครหน้าแหก ดื่มเยี่ยว 71 แก้ว”
อย่างไรก็ตาม “พี่อ้อย” ได้แจ้งความเอาผิด “ทนายตั้ม” ข้อหาฉ้อโกง โดยเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2567 หลังให้ปากคำกับพนักงานสอบสวนนานกว่า 11 ชั่วโมง เธอพยักหน้ายอมรับกับสื่อว่า รู้เสียใจกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น พร้อมยืนยันจะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด
7 พ.ย. 2567 ตำรวจกองปราบปรามเข้าจับกุม “ทนายตั้ม” และภรรยา ที่จังหวัดฉะเชิงเทรา หลังศาลอนุมัติหมายจับข้อหาฉ้อโกง ฟอกเงิน ร่วมกันฟอกเงิน และสมคบกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปฟอกเงิน โดยเขายังคงปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา
นอกจากคดีฉ้อโกงเงิน 71 ล้านบาท เรื่องราวระหว่าง “ทนายตั้ม” และ “พี่อ้อย” ยังมีคดีที่เกี่ยวข้องอีกหลายเรื่อง อาทิ เงิน 39 ล้านบาทที่เกี่ยวข้องกับการอ้างว่าถูกสแกมเมอร์หลอกโอนเงิน , เงิน 13 ล้านบาทที่นำไปซื้อรถเบนซ์ รวมไปถึงการจ้างออกแบบโรงแรม 9 ล้านบาท ฯลฯ
หลังถูกดำเนินคดี เขามอบหมายให้ “สายหยุด เพ็งบุญชู” เป็นทนายความในการสู้คดีฉ้อโกง และมี “อาคม คงสวัสดิ์” เป็นทนายว่าความให้กับภรรยา แต่อย่างไรก็ตาม ทั้ง 2 คนได้ถอนตัวออกจากการทำคดี โดยอ้างว่า พบพิรุธในเอกสาร ขณะเดียวกันยังได้แนะนำให้ “ทนายตั้ม” รับสารภาพ แต่เจ้าตัวยืนยันจะสู้คดี เมื่อเห็นว่าแนวทางไม่ตรงกันจึงขอถอนตัว
นอกจากถูกจับกุมแล้ว “สนธิ ลิ้มทองกุล” ยังเดินทางไปสภาทนายความ เพื่อขอให้ตรวจสอบมรรยาททนายความ โดยเห็นว่าเป็นการใช้ความรู้ทางกฎหมายเอารัดเอาเปรียบคนที่ไม่รู้กฎหมาย