เจฟฟ์ จอห์นสัน อายุ 34 ปี ชาวอเมริกัน ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์เพลิงไหม้โรงแรมย่านข้าวสาร ถนนตานี เมื่อคืนวันที่ 29 ธ.ค. เล่าให้ฟังว่า ตัวเองเดินทางมาที่ประเทศไทยได้ 2 สัปดาห์แล้ว และเป็นการมาครั้งที่ 2 โดยมาพักกับเพื่อนที่โรงแรมนี้ ห้องพักของเขาอยู่ที่ชั้น 4
ตอนนั้นได้กลิ่นควันแต่คิดว่าเป็นควันบุหรี่ จึงเปิดประตูและหน้าต่างออกมาดู เห็นกลุ่มควันเป็นจำนวนมาก ตนกับเพื่อนจึงได้หนีขึ้นไปที่ชั้นดาดฟ้า
ซึ่งทันทีที่ขึ้นไปก็เห็นว่ามีผู้หลบอยู่บนดาดฟ้าประมาณ 40 กว่าคนได้ ทุกคนอยู่ในสภาพที่หวาดกลัวอย่างมาก อีกทั้งยังเห็นคนที่กระโดดลงมาจากตึก ซึ่งเขาและเพื่อนก็ไม่กล้าที่กระโดด เพราะกลัวได้รับอันตราย
แต่หลังจากนั้นไม่นาน เจ้าหน้าที่กู้ภัยของไทยก็เข้ามาอย่างรวดเร็วและให้ความช่วยเหลือด้วยการนั่งกระเช้าเครนลงมาจากด้านล่าง เขาต้องขอบคุณเจ้าหน้าที่ดับเพลิงรวมถึงเจ้าหน้าที่กู้ภัยของไทยที่เข้ามาช่วยได้ทันเวลา ทำให้เขาหนีเอาตัวรอดจากเหตุการณ์ไฟไหม้ได้ เพราะตอนนั้นเขากลัวมากและสำลักควัน จึงหิวน้ำมาก ๆ
เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงความกังวลหลังจากเหตุการณ์เพลิงไหม้ เจฟฟ์บอกว่า ส่วนตัวไม่ได้กังวลกับความปลอดภัยและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แน่นอนว่าเมื่อคืนนี้ตนมีความหวาดกลัวและตกใจ แต่ตอนนี้ตนรู้สึกสบายใจมากขึ้น ซึ่งเจฟฟ์ได้เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวเพิ่มเติมภายหลังการสัมภาษณ์ว่า ตนรักประเทศไทย แล้วแต่ยังคงมาท่องเที่ยวที่ประเทศไทยต่อไป
ส่วนความคืบหน้าในการตรวจหาสาเหตุเพลิงไหม้ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พร้อมด้วย รศ.ดร.วิศณุ ทรัพย์สมพล รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ทีมฝ่ายวิศวกรโยธากรุงเทพฯ และวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ลงพื้นที่ตรวจสอบที่เกิดเหตุ จากการสอบถามผู้จัดการแผนกต้อนรับโรงแรมที่เกิดเหตุให้ข้อมูลว่ามีนักท่องเที่ยวจองห้องพักเข้ามาทั้งหมด 48 ห้อง ตามจำนวนห้องของโรงแรม แต่เช็กอินในวันเกิดเหตุ 38 ห้อง
นายชัชชาติ กล่าวว่า ต้นเพลิงคาดว่ามาจากชั้น 5 ห้องหมายเลข 511 ซึ่งอยู่บริเวณส่วนหลังของอาคาร ไม่ติดถนน ปีกขวา แต่ยังไม่สามารถระบุสาเหตุเพลิงไหม้ครั้งนี้ได้แน่ชัด เบื้องต้นเท่าที่ตรวจสอบพบว่าอาคารดังกล่าวเป็นอาคารดัดแปลงจำนวน 11 ห้องแถว พื้นที่รวมประมาณ 1,515 ตารางเมตร ขออนุญาตถูกต้องเมื่อปี 2563 ซึ่งเป็นช่วงหลังการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เปิดบริการให้บริการเมื่อเดือนเมษายน 2565
สำหรับเหตุการณ์เมื่อคืนวันที่ 29 ธ.ค. หลังจากเจ้าหน้าที่ได้รับแจ้งได้รีบมาที่เกิดเหตุภายใน 5 นาที พบว่ามีกลุ่มควันหนาแน่นเป็นจำนวนมากภายในอาคาร ทำให้ผู้พักอาศัยส่วนใหญ่อพยพหนีขึ้นไปอยู่บนดาดฟ้าประมาณ 34 คน จากจำนวนผู้พักอาศัยทั้งหมด 75 คน ส่วนที่เหลือพักอาศัยอยู่ด้านล่าง สามารถหนีออกมาได้ทางบันไดหนีไฟ เจ้าหน้าที่ดับเพลิงจึงต้องใช้รถกระเช้าเพื่อช่วยลำเลียงผู้ประสบภัยจากชั้นดาดฟ้าลงมา
จากการเข้าสำรวจอาคารหลังเกิดเหตุพร้อมทีมวิศวกรและฝ่ายโยธา พบว่าอาคารหลังดังกล่าวมีบันไดหนีไฟ 2 จุด และมีอุปกรณ์ถังดับเพลิงครบถ้วน เพียงแต่อาคารหลังดังกล่าวไม่เข้าเกณฑ์ที่ต้องบังคับติดตั้งสปริงเกอร์ เพราะเป็นเพียงอาคารขนาดเล็ก อย่างไรก็ตาม เนื่องจากสภาพอาคารเป็นสภาพปิดและไม่มีระเบียง ทำให้กลุ่มควันกระจายทั่วทั้งอาคาร
ส่วนกรณีที่เหตุอัคคีภัยดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงเทศกาลปีใหม่ ทางกรุงเทพมหานครจะเรียกความเชื่อมั่นให้แก่นักท่องเที่ยวอย่างไร นายชัชชาติ กล่าวว่า ในระยะแรกต้องเพิ่มความเชื่อมั่นด้วยการสั่งการให้ผู้ประกอบการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปตรวจสอบโรงแรมและสถานประกอบการทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ ให้มีระบบป้องกันอัคคีภัยที่มีประสิทธิภาพ มีมาตรฐาน และพร้อมใช้งานได้จริง เพื่อเพิ่มความมั่นใจให้แก่นักท่องเที่ยว ส่วนในระยะยาวต้องดำเนินการแก้กฎหมายควบคุมวัสดุภายในอาคาร เนื่องจากขณะนี้กฎหมายบังคับเฉพาะอาคารขนาดใหญ่ แต่ยังไม่รวมถึงอาคารโรงแรมขนาดเล็ก
ขณะที่ ตำรวจ สน.ชนะสงคราม ให้ข้อมูลความคืบหน้าหลังเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานได้เข้าตรวจสอบภายในโรงแรมบนถนนตานี ย่านข้าวสาร โดยเปิดเผยว่า หลังจากนี้ต้องให้เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานนำข้อมูลที่ได้ไปตรวจสอบอย่างละเอียด ถึงจะสามารถทราบสาเหตุของการเกิดเพลิงไหม้ครั้งนี้ได้ คาดว่าใช้ระยะเวลาอย่างน้อย 1-2 วัน
ส่วนกรณีของผู้พักห้อง 511 ซึ่งเป็นห้องต้นเพลิง พบว่าเป็นชายชาวเกาหลีใต้ 3 ราย โดยจากการสอบสวนทราบว่า ทั้งสามคนได้เข้ามาเช็คอินที่โรงแรมเมื่อเวลาบ่ายสาม แล้วหลังจากนั้นในช่วงหัวค่ำ ทั้ง 3 คนก็ได้ออกไปท่องเที่ยวข้างนอก ก่อนที่ช่วงเวลาประมาณตีห้า 1 ใน 3 คนได้เดินทางกลับมาที่ห้องก่อน แต่พบว่าไฟไหม้โรงแรมแล้ว ก่อนที่ในเวลาต่อมาทางตำรวจจะตามอีก 2 คนที่เหลือมาสอบปากคำ ซึ่งทั้งหมดให้การยืนยันว่า ในช่วงเวลาที่เกิดเหตุไม่ได้อยู่ที่โรงแรม ไม่ได้เสียบปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้าและก่อประกายไฟทิ้งเอาไว้ ทั้งนี้ ยังไม่ถือว่าทั้ง 3 คนเป็นผู้ต้องสงสัยแต่อย่างใด
สำหรับผู้เสียชีวิตทั้ง 3 รายนั้น ล่าสุดได้รับการยืนยันว่า ผู้เสียชีวิตอีก 2 รายที่เสียชีวิตที่โรงพยาบาล เป็นชายสัญชาติสหรัฐอเมริกาและยูเครนตามลำดับ โดยจะนำ ร่างชายชาวยูเครนไปชันสูตรพลิกศพที่นิติเวช โรงพยาบาลวชิรพยาบาล ส่วนร่างชายสัญชาติสหรัฐอเมริกา จะนำส่งไปชันสูตรพลิกศพที่นิติเวช โรงพยาบาลตำรวจ พร้อมกับร่างหญิงชาวบราซิลที่เสียชีวิตที่เกิดเหตุ