เรื่องของการสร้าง “สถานบันเทิงครบวงจร” หรือ “เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์” (Entertainment Complex) เป็นเรื่องที่เคยมีการพูดคุยกันมาอย่างยาวนานในประเทศไทย แต่ไม่เคยมีความคืบหน้าที่เป็นรูปธรรมเท่าในรัฐบาล นายกฯ แพทองธาร ชินวัตร
โดยล่าสุดคณะรัฐมนตรีไฟเขียวร่าง “พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร” แล้ว อยู่ระหว่างให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาปรับปรุงรายละเอียด และส่งต่อให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป
หนึ่งในรายละเอียดที่สำคัญหากร่างกฎหมายดังกล่าวผ่านกฤษฎีกาและสภาคือ จะทำให้ประเทศไทยมี “กาสิโนถูกกฎหมาย” เป็นครั้งแรก
คำถามที่สังคมส่งเสียงสะท้อนออกมาในเบื้องต้นคือ เรื่องนี้ “ได้คุ้มเสีย” หรือไม่ จะกระตุ้นเศรษฐกิจได้จริงหรือ หรือจะส่งผลกระทบต่อศีลธรรมอันดีของประชาชนหรือไม่
คุณอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ประธานคณะที่ปรึกษาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ด้านยุทธศาสตร์ เปิดเผยมุมมองส่วนตัวว่า เห็นด้วยมานานแล้วว่าควรมี เชื่อว่าเป็นสิ่งที่ควรอยู่บนโต๊ะ เป็นการแยกผีเน่ากับโลงผุ หรือตำรวจกับบ่อน ออกจากกัน
“ตำรวจมักมองว่าบ่อนเป็นสิ่งที่ชั่วร้ายน้อยที่สุด ดังนั้นส่วยส่วนใหญ่จะมาจากบ่อน ดังนั้น ควรเอาเรื่องนี้ขึ้นมาบนโต๊ะ อย่าซุกใต้พรม แต่ต้องทำให้ครบ ส่วนตัวมองว่าร่างกฎหมายยังมีช่องโหว่อยู่ ถ้าไม่แก้ไขอาจสะดุด” คุณอรรถวิชช์บอก
เขาเสริมว่า ถึงเวลาแล้วที่ต้องมี ซึ่งไม่ใช่เพราะว่ารัฐบาลถังแตกหรืออะไร แต่มันคือการเพิ่มแหล่งท่องเที่ยว แม้แต่สิงคโปร์เอง ตอนสร้างชาติไม่อยากมี แต่สุดท้ายก็มีมารีนาเบย์แซนด์ส
คุณอรรถวิชญ์บอกว่า ชื่อกฎหมายคือ “สถานบันเทิงครบวงจร” แปลว่าสามารถมีโรงแรม ศูนย์ประชุม ห้าง บ่อน สนามกีฬา มาได้หมด แต่เท่าที่เห็นร่างกฎหมาย เหมือนเห็นแต่ “กาสิโน”
“ถ้าลองดูมาตรา 41 ระบุว่า การทำสถานบันเทิงครบวงจรต้องมี ‘อย่างน้อย 4 ธุรกิจ’ จากในลิสต์ที่แนบมา คือ ห้าง โรงแรม ร้านอาหาร/ไนต์คลับ สนามกีฬา สถานที่เล่นเกม สระว่ายน้ำ หรือสวนสนุก ศูนย์ส่งเสริมสินค้าโอท็อป อันนี้จับกัน 4 ตัว อะไรก็ได้ แล้วบวกบ่อน” คุณอรรถวิชญ์กล่าว
เขาเสริมว่า “ทำไมกฎหมายไม่กำหนดว่า ต้องมีโรงแรมกี่ห้อง ห้างกี่ตารางเมตร ไม่อย่างนั้นเกิดสร้างโรงแรม 10 ห้อง สระว่ายน้ำ 1 สระ ส่วนขายโอท็อป 1 อัน สนามเด็กเล่นหน่อย ได้แล้วนะ แล้วที่เหลือบ่อนหมด”
คุณอรรถวิชญ์บอกว่า “ต้องกำหนดขนาด ไม่งั้นสัดส่วนบ่อนเยอะกว่าสถานบันเทิงครบวงจร แต่สัดส่วนตรงนี้กลับมีคณะกรรมการหรือซูเปอร์บอร์ดเป็นคนกำหนด มองว่ามีอำนาจมากเกินไป อย่างน้อยเขียนในกฎหมายให้เห็นภาพได้หรือไม่ ว่าแต่ละส่วนความจุเท่าไร อ่านกฎหมายตอนนี้ไม่เห็นภาพ แต่หลักการดี ... บอร์ดอำนาจล้นมาก ขนาดไม่กำหนด สัดส่วนไม่บอก สถานที่ตั้งแล้วแต่บอร์ดจิ้ม”
ด้าน คุณธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ถ้าบอกว่ามีสากิโนถูกหมายเพื่อไม่ให้คนไทยไปเล่นตามชายแดน มองว่าไม่มีความหมาย เพราะคนที่ไปตรงนั้นแค่ส่วนน้อย ส่วนถ้าจะบอกว่าดึงนักท่องเที่ยว คนมาเที่ยวไทยส่วนใหญ่น่าจะสนใจซอฟต์พาวเวอร์ วัฒนธรรม ธรรมชาติ อาหาร มากกว่า การพนันไม่ใช่จุดขายหลัก
“ถ้าถามผม มองเชิงสนับสนุนนะ แต่ต้องไปให้เหนือจากการท่องเที่ยว ต้องมีศูนย์ประชุม ฮอลล์แสดงสินค้าขนาดใหญ่ มีศูนย์ประชุมนานาชาติ ซึ่งถ้ารัฐบาลต้องการดึงกลุ่มเป้าหมายธุรกิจเชิงอีเวนต์เหล่านี้ ร่างกฎหมายที่ออกมายังไม่ได้ชี้ทางนี้” คุณธีระชัยบอก
อดีต รมว.คลัง เสริมว่า อยากให้มองดูไบโมเดล มีการจัดแข่งม้า งานศิลปะ อีเวนต์ต่าง ๆ ที่สามารถทำได้เรื่อย ๆ ทำให้ครบวงจร แต่ร่างกฎหมายตอนนี้ยังไปไม่ถึง “เราต้องเป็นแบบดูไบโมเดล จัดงานแสดงประชุมต่าง ๆ เป็นประจำ ซึ่งที่ร่างกฎหมายบอกให้เลือก 4 อย่าง มันไม่ถูก เราต้องเริ่มจากมีภาคบังคับ ต้องบังคับมีห้องแสดงสินค้า ต้องมีศูนย์ประชุม โอท็อปต้องบังคับ สระว่ายน้ำเป็นเรื่องรอง ลิสต์นี้ไม่ใช่ช้อปปิ้งลิสต์ ต้องบังคับ ต้องระบุสัดส่วนว่าไม่น้อยกว่าเท่าไร ไม่ใช่กระจุกที่กาสิโนเท่านั้น”
คุณธีระชัยบอกว่า “ถ้าใช้กฎหมายนี้โดยไม่แก้ไข สังคมไม่ยอมรับ มีจุดอ่อนหลายอย่าง อำนาจตกที่ซูเปอร์บอร์ดมากไป ถ้าคิดว่าอะไรเหมาะสมควรเขียนในกฎหมายเลย ให้โปร่งใส การมีซูเปอร์บอร์อาจถูกแทรกแซงได้”
เขาบอกอีกว่า ต้องหาตัวหลักที่จะมาดูแลกาสิโนด้วย ระบุสเปกให้ชัดว่ามีประสบการณ์ทำกาสิโนมากี่ปี ต้องเป็นที่ยอมรับ
คุณอรรถวิชญ์ย้ำว่า กฎหมายต้องชัดเจนถึงสเปกของการทำสถานบันเทิงครบวงจร เราต้องการสถานบันเทิงครบวงจรขนาดใหญ่ ไม่ใช่แค่กาสิโน
“สิงคโปร์หรือมาเก๊าเดี๋ยวนี้เอง คนเล่นพนันน้อย คนช้อปปิ้งเยอะกว่า แต่ทำไมคนยังไปมาเก๊า เพราะคอลเลกชันแบรนด์ดังไปอยู่ตรงนั้น คนไปช้อปปิ้ง ต้องดูศักยภาพ โครงการเราจะดึงดูดแบรนด์ดังได้แค่ไหน แรงดึงดูดหลักต้องไม่ใช่บ่อน แต่กฎหมายตอนนี้ไม่ได้บอก” เขาบอก
คุณอรรถวิชญ์เสริมว่า “การสัมปทานขนาดใหญ่ในไทย เช่น ปิโตรเลียม มี พ.ร.บ.ปิโตรเลยม กำหนดชัดทุกอย่าง แต่ร่างกฎหมายสถานบันเทิงครบวงจรตอนนี้ไม่มีไส้ในอย่างนั้น”
คุณอรรถวิชย์บอกว่า ไส้ในร่างกฎหมายตอนนี้เหมือนมีแค่กาสิโน และบอกว่าจะมีการลงทุนจากต่างประเทศ 3 แสนล้านบาท รัฐได้รายได้ปีละ 4 หมื่นล้านบาท สมมติฐานมาจากอะไร ตั้งสมมติฐานได้อย่างไร นายกฯ บอกกาสิโนมีสัดส่วนไม่เกิน 10% ก็ควรบอกในกฎหมายมาเลย จะได้เห็นภาพ การสัมปทานยักษ์ใหญ่ขนาดนี้ควรมีรายละเอียดแบบการสัมปทานปิโตรเลียม
นอกจากเรื่องสัดส่วนองค์ประกอบสถานบันเทิงแล้ว คุณอรรถวิชญ์บอกว่า อีกเรื่องที่ต้องใส่ในกฎหมายคือ รายได้จะถูกส่งไปที่ไหน
“เงินที่จะเอาเข้าหลวงควรเขียนให้ชัด จะส่งกองทุนตำรวจหรือไม่ (เพราะจุดประสงค์ต้องการลดการรับส่วยจากบ่อนของตำรวจ จึงอาจมีแผนนำเงินส่วนนี้ไปสนับสนุนตำรวจ) หรือจะให้กองทุนช่วยเหลือเหยื่อการพนัน แต่เมื่อไม่ใส่ ข้อสงสัยเกิด รายได้จะนำมาช่วยสังคมด้านไหนหน่วยงานไหน ควรล็อกมาเลย” คุณอรรถวิชญ์บอก
คุณธีระชัยเสริมว่า ถ้าอยากให้กฎหมายชัดเจนและประชาชนยอมรับ ต้องเปิดเวทีพูดคุยกันอย่างละเอียด “รัฐบาลควรเอาแต่ละเรื่อง ยกขึ้นมาเปิดเวที ไม่ต้องเร่งรีบ ให้จัดเวที เอาส่วนหนึ่งของกฎหมายมาดีเบตต่อสาธารณะ คนที่เห็นด้วยไม่เห็นด้วย ก็เคลียร์ให้ชัด การรับฟังจะทำให้สังคมคลายใจ”
อดีต รมว.คลังบอกว่า “กระบวนการขั้นตอนรับฟังความเห็น ถ้าไม่มี ไม่มีทางสำเร็จ ต้องเปิดเวที เปิดบ่อย ๆ เปิดหลายแห่ง บางคนอธิบายยังไงก็ไม่เอา แต่ถ้าขึ้นเวทีถกเถียงกัน คนได้ฟังหลายครั้ง อาจเกิดข้อตกลงร่วมกันของสังคม”
นอกจากนี้ คุณธีระชัยมองว่า รัฐบาลต้องให้ความมั่นใจว่าสถานบันเทิงครบวงจรและกาสิโนจะไม่กลายเป็นช่องทางหาประโยชน์ของใคร
“มีรายงานข่าวก่อนหน้านี้ว่า มีการซื้อหุ้นในบริษัทเจ้าสัวท่านหนึ่ง ซึ่งท่านนั้นสนับสนุนพรรคใหญ่พรรคหนึ่ง แล้วอาจมีการรองรับบริษัทนั้นหากยื่นขอใบอนุญาตสถานบันเทิงครบวงจร ดังนั้น ข้อกังวลว่านี่จะเป็นช่องทางให้พรรคการเมืองหรือนายทุนหาผลประโยชน์ รัฐบาลต้องเคลียร์” คุณธีระชัยบอก
เขาเสริมว่า การกำกับดูแลก็สำคัญ “กาสิโนในทุกประเทศมีปัญหามาเฟีย พวกที่เข้าไปสร้างอิทธิพล มีกระบวนการผิดกฎหมาย อำนาจมืดเยอะ การกำกับดูแลต้องทำให้สังคมเห็นว่าทำได้ ประชาชนรู้ดีว่า ระบบการบริหารจัดการประเทศเรามีจุดอ่อนเรื่องธรรมาภิบาล ความยุติธรรมใช้บ้างไม่ใช้บ้าง รัฐบาลต้องออกแรงเยอะถ้าต้องการให้คนสบายใจเรื่องสถานบันเทิงครบวงจร”