การจะบอกเลิกคนรักที่คบหากันมาเป็นเรื่องยากอยู่แล้ว แต่ยิ่งยากขึ้นไปอีกหากเป็นช่วงวาเลนไทน์หรือเทศกาลแห่งความรัก และการบอกเลิกกันในช่วงเวลานี้มักถูกมองว่าเป็นเรื่องที่ใจร้าย
อย่างไรก็ตาม เคียนา เชลตัน นักจิตบำบัดจาก Mindpath Health ในรัฐเท็กซัส ประเทศสหรัฐฯ บอกว่า ในขณะที่เดือนกุมภาพันธ์มักถูกมองว่าเป็นเดือนแห่งความรัก แต่มีคู่รักหลายคู่มักจะเลิกรากันในช่วงวันวาเลนไทน์
เธอให้เหตุผลว่า วันวาเลนไทน์ที่เต็มไปด้วยช็อคโกแลต ดอกกุหลาบ และมื้อค่ำสุดโรแมนติก อาจเพิ่มแรงกดดันทางสังคมให้ต้องแสดงให้เห็นว่าคุณรักคู่ของคุณมากเพียงใด ซึ่งการแสดงออกเหล่านั้นอาจดูไม่จริงใจสำหรับใครก็ตามที่พร้อมจะเลิกรา
นอกจากนี้ กุมภาพันธ์อยู่ติดกับเดือนมกราคม หรือปีใหม่ ทำให้เป็นช่วงเวลาที่หลายคนจะไตร่ตรองถึงปณิธานใหม่ ๆ สิ่งใหม่ ๆ ที่จะทำในปีนี้ ซึ่งอาจรวมไปถึงการพิจารณาความสัมพันธ์ในปัจจุบันด้วย
บทความนี้ไม่ได้มีจุดมุ่งหมายที่จะยุยงหรือสาปแช่งให้คู่รักยยุติความสัมพันธ์กัน แต่การจากลาเป็นสัจธรรมของโลกที่เกิดขึ้นกับชีวิตใครก็ได้และเมื่อใดก็ได้ ดังนั้น หากใครที่คิดว่าไม่สามารถยิ้อความสัมพันธ์ได้อีกแล้วในช่วงวาเลนไทน์ เราจึงนำความเห็นผู้เชี่ยวชาญมาให้พิจารณาว่า ก่อนหรือหลังวาเลนไทน์ ช่วงไหนเหมาะกับการบอกเลิกมากกว่ากัน
การเลิกรากันก่อนวันวาเลนไทน์
ดร. มอร์แกน โคป ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาที่ Centre College ในรัฐเคนทักกี ซึ่งศึกษาวิจัยเกี่ยวกับจุดเชื่อมโยงระหว่างตัวตนและความสัมพันธ์เชิงโรแมนติก กล่าวว่า การเลิกรากันมักไม่ใช่การตัดสินใจโดยฉับพลัน แต่เป็นสิ่งที่คนเราพิจารณาเป็นเวลานาน
แม้ว่าการเลิกรากับคนรักก่อนวันวาเลนไทน์จะดูไร้หัวใจ แต่เธอบอกว่า ไม่มีเวลาไหนเหมาะสมในการยุติความสัมพันธ์ไปมากกว่าตอนนี้อีกแล้ว เพราะยังมีวันหยุด วันเกิด และข้ออ้างอื่น ๆ เสมอที่จะยืดความสัมพันธ์ที่หมดรักกันไปแล้ว
การใช้เวลาวันวาเลนไทน์กับคนที่คุณไม่มีความรู้สึกโรแมนติกด้วยอาจทำให้เครียดทางจิตใจได้เช่นกัน
“ลองนึกภาพว่าคุณกำลังเลือกของขวัญหรือออกไปทานอาหารเย็นข้างนอกทั้งที่คุณไม่อยากอยู่ด้วย มีความสัมพันธ์ทางกายกับคนรักที่คุณไม่อยากอยู่ด้วย การเลิกรากันนั้นยากเสมอ แต่คุณไม่จำเป็นต้องทำให้ตัวเองหรือคนรักของคุณลำบากขึ้นด้วยการฝืนทำบางอย่างที่ไม่ควรเกิดขึ้น” ดร.โคปกล่าว
ขณะที่เชลตันเสริมว่า โซเชียลมีเดียทำให้วันวาเลนไทน์กลายเป็นการแสดงความรู้สึก ซึ่งสร้างจะสร้าง “การเปรียบเทียบและการรับรู้ผิด ๆ เกี่ยวกับความหมายของการอยู่เคียงข้างคนที่เรารัก”
เธอสังเกตว่า สังคมปัจจุบันมีแรงกดดันมหาศาลให้แสดงความรักต่อกันในที่สาธารณะ เช่น การซื้อเครื่องประดับหรือการห่อช่อดอกกุหลาบด้วยเงิน เพื่อแข่งขันกับสิ่งที่คนอื่นโพสต์เกี่ยวกับคู่รักของตน การคาดหวังของขวัญหรูหราและอาหารค่ำราคาแพงอาจทำให้ผู้คนต้องประเมินใหม่ว่าคุ้มค่าที่จะใช้เวลาและเงินไปกับความสัมพันธ์ใหม่หรือความสัมพันธ์ที่ไม่ก้าวหน้าไปจากเดิม
โคปกล่าวว่า การเลิกรากันก่อนวันวาเลนไทน์ทำให้ผู้คนไม่ต้องวางแผนสำหรับค่ำคืนโรแมนติกที่รู้สึกฝืนและไม่จริงใจ “คุณควรพูดความจริงและจริงใจกับคู่รักของคุณ ซึ่งหมายถึงไม่ควรลงทุนด้านอารมณ์และการเงินไปกับการเฉลิมฉลองครั้งใหญ่”
เธอยังบอกว่า การเฉลิมฉลองวันวาเลนไทน์ด้วยกันอาจทำให้คนรักของคุณเชื่อว่าความสัมพันธ์นั้นมั่นคงกว่าที่เป็นจริง ซึ่งนำไปสู่ความสับสนและความขุ่นเคืองที่อาจเกิดขึ้นได้หากบอกเลิกในภายหลัง
โคปแนะนำให้คุณเผื่อเวลาอย่างน้อย 1 สัปดาห์ก่อนวันวาเลนไทน์เพื่อยุติความสัมพันธ์ ถึงแม้ว่าการสนทนาจะยังคงยากอยู่ แต่ทุกคนก็ควรมีเวลาจัดการกับการเลิกราและวางแผนอื่น ๆ สำหรับวันวาเลนไทน์กับเพื่อนและครอบครัว
การเลิกราหลังวันวาเลนไทน์
หากคุณยังลังเลที่จะยุติความสัมพันธ์ เชลตันแนะนำให้รอจนกว่าหลังวันวาเลนไทน์ โดยบอกว่า หากไม่มีบรรยากาซการเฉลิมฉลองวันวาเลนไทน์ ผู้คนอาจมีความคิดที่ชัดเจนขึ้นในการประมวลผลอารมณ์ของตนเอง
การรอจนหลังวาเลนไทน์ยังช่วยให้ผู้คนมีโอกาสครั้งสุดท้ายที่จะแสดงให้เห็นว่า ความสัมพันธ์นั้นคุ้มค่าที่จะดำเนินต่อไปหรือไม่
เชลตันกล่าวว่า การเห็นคู่รักทำอะไรบางอย่างเกินขอบเขตในวันวาเลนไทน์อาจช่วยคลายความสงสัยและทำให้ผู้คนเต็มใจที่จะแก้ไขปัญหาของตนเองมากกว่าที่จะยุติความสัมพันธ์
สุดท้าย บางคนอาจเลิกราหลังวันวาเลนไทน์เพื่อหลีกเลี่ยงการสร้างความเชื่อมโยงทางจิตใจระหว่างวันวาเลนไทน์และการเลิกรา
เชลตันอธิบายว่า สมองของเรามีแนวโน้มที่จะสร้างรูปแบบและค้นหาความหมายระหว่างสองเหตุการณ์ คืออาจทำหึ้นเกิดความรู้สึกว่า ความสัมพันธ์ของพวกเขาจะไม่ยืนยาวไปกว่าวันวาเลนไทน์ “การเลิกราก่อนถึงวันวาเลนไทน์จะช่วยหลีกเลี่ยงการสร้างความรู้สึกผิด ๆ เช่นนี้ได้”
เรียบเรียงจาก CNN