วันที่ 3 ก.พ. 2568 พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) จับกุม แถลงผลการจับกุมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ 2 ราย ที่สวมเครื่องแบบตำรวจวิดีโอคอล หลอกเหยื่อโอนเงิน มูลค่าหลายล้านบาท ประกอบด้วย 1.นายรามิล อายุ 31 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ที่ 4557/2567 ลงวันที่ 19 ก.ย. 2567พญาไท) ในความผิดฐาน "ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น" สถานที่จับกุม บ้าต.คลองหินปูน อ.วังน้ำเย็น จ.สระแก้ว
2. นายธนาวุฒิ อายุ 28 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญากรุงเทพได้ ที่ จ.153/2568 ลงวันที่ 1 ก.พ.2568 ในความผิดฐาน "ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยการแสดงตนเป็นคนอื่น, สมคบกันโดยการตกลกกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้ที่ได้มีการสมคบกัน และร่วมสถานที่จับกุม บ้านพัก ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี
พฤติการณ์ สืบเนื่องจากตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดย กก.1 บก.ปอท. ได้รับการร้องทุกข์จากผู้เสียหายว่ามีคนร้ายแต่งกายเป็นตำรวจวิดีโอคอลมาข่มขู่ผู้เสียหาย โดยแจ้งกับผู้เสียหายว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีฟอกเงินและคดียาเสพติด พร้อมส่งเอกสารปลอมต่างๆ มาให้ผู้เสียหายดู จนทำให้ผู้เสียหายเกิดความกลัวและหลงเชื่อว่าบุคคลดังกล่าวเป็นตำรวจจริง ต่อมาคนร้ายจึงได้หลอกให้ผู้เสียหายโอนเงินเข้ามาตรวจสอบเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจผู้เสียหายหลงเชื่อจึงโอนเงินไปยังบัญชีคนร้ายรวมเป็นเงินมูลค่ากว่าล้านบาท
จากการตรวจสอบข้อมูลจากระบบแจ้งความออนไลน์และฐานข้อมูลพบว่า มีผู้เสียหายที่ตกเป็นเหยื่อในลักษณะเดียวกันนี้มากถึง 163 เคส ตำรวจจึงเร่งรัดดำเนินการสืบสวนอย่างต่อเนื่อง จนภายหลังสามารถระบุตัวคนร้ายที่แต่งกายเป็นตำรวจวิดีโอคอลมาหลอกลวงผู้เสียหาย จากนั้นจึงได้รวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติศาลออกหมายจับผู้ต้องหาทั้ง 2 รายตามหมายจับดังกล่าว
ด้าน พ.ต.ท. พรเสกข์ เชาวสันต์ สว.กก.1 บก.ปอท. กล่าวว่า จากการสืบสวนและการรวบรวมข้อมูลพบว่ากลุ่มนี้ มีการจัดทำที่ตั้งอยู่ที่ตึก 18 ชั้น ฝั่งปอยเปต ประเทศกัมพูชา ซึ่งผู้ต้องหารายนี้ทำงานอยู่ที่ชั้น 13
โดยแผนประทุษกรรมจะมีแอดมินคอยควบคุมระบบซิมบอกซ์ เมื่อซิมบอกซ์โทรไปหาเหยื่อก็จพมีการโอนสายให้ กลุ่มที่เรียกว่า สาย 1 ที่ทำหน้าที่โทรข่มขู่ผู้เสียหายว่ามีคดีฟอกเงินและข่มขู่ต่างๆ เมื่อผู้เสียหายหลงเชื่อสาย 1 ก็จะโอนสายไปให้วสาย 2 ทำการวิดีโอคอล ซึ่งสาย 2 จะแต่งกายเลียนแบบตำรวจโน้มน้าวให้เหยื่อหลงเชื่อโอนเงินมาเพิ่อตรวจสอบ
จากนั้น สาย 3 จะแต่งกายเป็นตำรวจอ้างว่าเป็นผู้บังคับบัญชาระดับสูงเพื่อปิดบิลและส่งบัญชีธนาคารให้เหยื่อโอนเงิน ต่อมาก็จะมีสายปลอบที่จะทำหน้าที่ปลอบใจเหยื่อว่าเงินที่โอนไปนั้น จะได้รับคืนแน่นนอนและจะมีการปลอบให้เหยื่อโอนเงินครั้งที่ 2 ครั้งที่ 3 เพื่อเพิ่มยอด
ขบวนนี้จะมีสมาชิกประมาณ 30 - 40 คน นอกจากสายโทรหลอกแล้ว ยังมีชาวจีน และชาวกัมพูชา จัดหาโปรแกรมAI ปลอมหน้าเพื่อไม่ให้มีการติดตามสืบสวน โดยมีล่ามชาวไทยที่สามารถพูดภาษาจีนได้ มีคนคิดสคริปหลอกผู้เสียหาย มีชาวจีนเป็นคนควบคุมคนกลุ่มนี้ มีฝ่ายการเงินจะหาบัญชีม้าทำการแปลงทรัพย์สินจากเงินสดเป็นเงินดิจิทัล
ส่วนคนกลุ่มนี้ได้รับค่าจ้างจากบอส โดยบอสจะเรียกผู้ร่วมขบวนการแต่ละคนไปพบและจ่ายเป็นเงินสด จะไม่จ่ายเป็นเงินโอนเพื่อไม่ให้มีร่องรอยทางอิเล็กทรอนิกส์
พ.ต.ท. พรเสกข์ กล่าวอีกว่า จากการตรวจสอบพบว่า เงินที่หลอกได้จะมีการแปลงเป็นสินทรัพย์ดิจิทัล จากนั้นจะมีอีกทีมทำการฟอกเงินเป็นเงินสดเป็นสกุลต่างๆหลายนประเทศ ทั้ง ไทย เวียดนาม และตุรกี โดยเงินจะมีการแบ่งเป็นค่าใช้จ่ายในงานคอลเซ็นเตอร์ จ่ายค่าคอมมิชชันให้กับทีมงาน และส่งต่อให้หัวหน้าขบวนการและผู้รับผลประโยชน์ต่อไป
สำหรับผู้ต้องหารายนี้ ถือเป็นรายหลักที่ถูกแจ้งความจำนวน 163 ครั้ง และเชื่อว่ามีอีกจำนวนมากที่ยังไม่แจ้งและจากสอบปากคำเพื่อขยายผล และเจ้าตัวก็รับสารภาพทั้งหมด
ด้าน พ.ต.อ.ภานุภัท กิตติพันธ์ ผกก.1 บก.ปอท. กล่าวว่า เมื่อประมาณเดือนก.ค. 2567 ได้มีผุ้เสียหายแจ้งความร้องทุกข์ ถูกคนร้ายข่มขู่ โดยวิดีโอคอลแต่งกายปลอมเป็นตำรวจ คุยกับผู้เสียหายจนหลงเชื่อสูญเงินไปหว่า 4 ล้านบาท
จากนั้น บก.ปอท. ได้ทำงานสืบสวนตรวจสอบจนพบว่า มีแผนประทุษกรรมในลักษณะที่คล้ายคลึงกันจำนวน 163 เคส และสามารถพิสูจน์ทราบว่า บุคคลที่ปลอมตัวเป็นตำรวจว่าเป็นใคร จากนั้นได้ขอศาลออกหมายจับและสามารถจับกุมตัวได้เมื่อวันที่ 2 ก.พ. ที่ผ่านมา