วันนี้(7 ต.ค.68) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาส รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงรายละเอียดโครงการ “คนละครึ่งพลัส” ว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบให้ ใช้วงเงินงบประมาณ 44,000 ล้านบาท จากงบกระตุ้นเศรษฐกิจ และงบกลาง ครอบคลุมผู้ได้รับสิทธิทั้งหมด 20 ล้านคน ตามที่กระทรวงการคลัง เสนอ
โดยโครงการนี้มีจุดเด่นคือ “5 พลัส” ที่ต่อยอดจากโครงการคนละครึ่งเดิม ได้แก่
1. ขยายสิทธิ์ให้ผู้มีอายุ 16 ปีขึ้นไป จากเดิมที่ต้องมีอายุ 18 ปี เพื่อเปิดโอกาสให้เยาวชนที่มีกำลังซื้อหรือมีรายได้จากการค้าขายออนไลน์เข้าร่วมได้
2. เพิ่มวงเงินสมทบของรัฐจาก 150 บาทเป็น 200 บาทต่อวัน เพื่อเพิ่มกำลังซื้อในชีวิตประจำวัน
3. เพิ่มสิทธิพิเศษสำหรับผู้ที่อยู่ในระบบภาษี โดยจะได้รับสิทธิ์ 2,400 บาทต่อโครงการ ขณะที่ประชาชนทั่วไปได้รับ 2,000 บาท ในสัดส่วน 50:50
4. ขยายสิทธิ์ให้ผู้ประกอบการรายย่อย “ไมโครเอสเอ็มอี” และวิสาหกิจชุมชน ที่มีรายได้ไม่เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี เข้าร่วมได้เป็นครั้งแรก
5. พัฒนาและยกระดับทักษะ (Upskill/Reskill) ให้กับพ่อค้าแม่ค้า ผ่านการอบรมด้านเทคโนโลยี เช่น การใช้ AI เพื่อลดต้นทุน เพิ่มยอดขาย และต่อยอดธุรกิจ
นอกจากนี้ นายเอกนิติ ระบุว่า โครงการนี้ยังคงใช้แอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” สำหรับประชาชน และ “ถุงเงิน” สำหรับร้านค้า ซึ่งเป็นระบบที่คนไทยคุ้นเคย โดยจะเริ่มเปิดให้ ร้านค้าลงทะเบียน 15 ต.ค.-19 ธ.ค.2568 และ ประชาชนลงทะเบียนระหว่างวันที่ 20–26 ต.ค 2568 ก่อนจะเริ่มใช้สิทธิ์ได้ตั้งแต่ วันที่ 29 ต.ค.–31 ธ.ค. 2568 เวลา 06.00-23.00 น. ของทุกวัน และต้องมีการใช้สิทธิ์ครั้งแรกภายในวันที่ 11 พ.ย.2568 ภายในเวลา 23.00 น. เพื่อไม่ให้ถูกยกเลิกสิทธิ์
ทั้งนี้ โครงการคนละครึ่งพลัส ยังเพิ่มสิทธิ์สำหรับฟู้ดเดลิเวอรี่ ซึ่งสามารถเริ่มใช้สิทธิ์ได้ผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ตั้งแต่วันที่ 7 พ.ย.-31 ธ.ค.2568 เวลา 06.00-21.00 น. ของทุกวัน
สำหรับร้านค้าใหม่ที่เข้าร่วมโครงการ ลงทะเบียนผ่าน 4 ขั้นตอน ดังนี้
1.)มีบัญชีธนาคารกรุงไทย และสมัครเป็นร้านค้าถุงเงินสำเร็จ
2.)เตรียมบัตรประชาชน และรูปถ่ายที่มีรูปเจ้าของขณะกำลังประกอบกิจการ
3.เตรียมแบบฟอร์มเข้าร่วมโครงการ
-สำหรับร้านค้าบุคคลธรรมดา/วิสาหกิจชุมชน/OTOP นำแบบฟอร์มติดต่อเจ้าหน้าที่รัฐ เพื่อยืนยันการประกอบกิจการจริง
-สำหรับร้านค้านิติบุคคลรายย่อย/ธุรกิจเฉพาะ นำแบบฟอร์มติดต่อเจ้าหน้าที่ธนาคารกรุงไทย เพื่อส่งตรวจข้อมูลหน่วยงานรัฐ
4.นำเอกสารที่ได้รับการยืนยันแล้ว ติดต่อธนาคารกรุงไทยได้ทุกสาขา
ส่วนร้านค้าที่เคยร่วมโครงการคนละครึ่งเฟส 5 และผ่านเกณฑ์แล้ว ไม่ต้องลงทะเบียนใหม่ โดยสามารถอัปเดตแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” เป็นเวอร์ชันล่าสุด และกดยอมรับเงื่อนไขโครงการที่รูปโครงการคนละครึ่งพลัส
และกรณีที่ร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการได้รับผลกระทบจากภาษีในรอบก่อนกันเป็นจำนวนมาก นายเอกนิติ มั่นใจว่า ข้อมูลของร้านค้าในส่วนนี้จะไม่ถูกส่งไปยังกรมสรรพากร และจะเป็นระบบแบบปิด
นอกจากนี้ ร้านค้าที่ยังไม่สมัครเป็นร้านค้าถุงเงิน สามารถสมัครได้ที่ ธนาคารกรุงไทย ทุกสาขา หรือสมัครผ่านเว็บไซต์ www.ถุงเงินกรุงไทย.com พร้อมดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” และสามารถตรวจสอบผลเข้าร่วมโครงการได้ที่รูปโครงการคนละครึ่งพลัส ในแอปพลิเคชัน“ถุงเงิน“
สำหรับงบประมาณดำเนินโครงการ มีการใช้วงเงินงบประมาณทั้งสิ้น 4.4 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นงบกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2569 จำนวน 2.5 หมื่นล้านบาท และงบกลาง 1.9 หมื่นล้านบาท ซึ่งเมื่อรวมกับเงินสมทบจากภาคประชาชนจะมีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบกว่า 88,000 ล้านบาท และหากรวมกับการเติมเงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐอีก 23,000 ล้านบาท จะมีเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจรวมกว่า 100,000 ล้านบาท คาดว่าจะช่วยเพิ่ม GDP ได้ราว 0.3–0.4% ส่งผลให้ GDP ไตรมาส 4 ปีนี้ โตได้ 1% จากเดิมคาดไว้ว่าจะโตไม่ถึง 1% และทำให้GDP ทั้งปี 2568 น่าจะยังคงขยายตัวได้ 2.2% ตามที่คาดไว้
นายเอกนิติกล่าวย้ำว่า “คนละครึ่งพลัส” เป็นโครงการที่ออกแบบให้ กระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากอย่างแท้จริง เพราะกลุ่มเป้าหมายหลักคือประชาชนรายได้น้อยและผู้ค้ารายย่อย ซึ่งมีแนวโน้มใช้เงินหมุนเวียนในประเทศได้มากกว่ากลุ่มรายได้สูง และเป็นไปตามแนวคิด “Quick Big Win” ที่รัฐบาลต้องการเห็นผลเร็ว เห็นผลจริง และกระจายรายได้ทั่วประเทศ
สำหรับประชาชนที่ไม่มีสมาร์ทโฟน จะสามารถเข้าร่วมโครงการคนละครึ่งได้หรือไม่นั้น นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง ระบุว่า ส่วนใหญ่ผู้ที่ไม่มีสมาร์ทโฟนจะอยู่ในกลุ่มของผู้ที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐอยู่แล้ว จึงมั่นใจว่าจะไม่เกิดปัญหาการตกหล่นอย่างแน่นอน
ขณะที่นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า ขอให้ประชาชนมั่นใจ เนื่องจากระบบการลงทะเบียนจะสามารถรองรับได้ 100,000 ธุรกรรม/วินาที จากเดิมรองรับได้แค่ 50,000 ธุรกรรม/วินาที ประชาชนจึงสบายใจได้ในระบบการลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ว่าจะมีเสถียรภาพมากขึ้น
ส่วนกรณีการโยกงบกลางจำนวน 1.9 หมื่นล้านบาทมาใช้ในโครงการคนละครึ่งพลัส เกี่ยวข้องกับความผิดทางกฎหมายหรือไม่นั้น นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ชี้แจงว่า คณะรัฐมนตรีเห็นว่า การใช้งบกลางในลักษณะนี้ เป็นการใช้จ่ายสำรองกรณีฉุกเฉินและจำเป็น โดยได้สอบถามความเห็นจากสำนักกฤษฎีกาแล้ว ซึ่งสำนักกฤษฎีกาเห็นว่า สถานการณ์ดังกล่าวถือเป็นภัยเศรษฐกิจที่จำเป็นต้องระวัง ดังนั้นการใช้งบประมาณดังกล่าวสามารถกระทำได้และไม่ขัดต่อกฎหมาย