วิกฤตแบงก์สหรัฐฯเจ๊ง โบรกฯประเมิน 5 ผลกระทบ คาดหุ้นไทยผันผวนแนะถือเงินสด 10 –20%
หน่วยงานกำกับดูแลสหรัฐฯ สั่งปิด “ธนาคารซิกเนเจอร์” เป็นรายที่ 3
กรณีการปิดตัวของสภาบันการเงิน 3 แห่งในสหรัฐอเมริกาภายในระยะเวลา 1-2 สัปดาห์ ทั้ง ธนาคารซิลเวอร์เกต (Silvergate Bank) ธนาคารซิลิคอนแวลลีย์ (Silicon Valley Bank) และ ธนาคารซิกเนเจอร์ (Signature Bank) ได้สร้างความกังวลให้กับนักลงทุนไปทั่วโลก โดยปัญหาต้นเหตุมากจากการขาดสภาพคล่องทางการเงิน และการปล่อยกู้ให้กับอุตสาหกรรมที่มีอย่างเสี่ยง อย่าง สตาร์ทอัพ หรือ สินทรัพย์ดิจิทัล มากจนเกินไป
รวมถึงการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ เฟด (FED) ปรับขึ้นดอกเบี้ยรุนแรง ขณะที่สินทรัพย์ของสถาบันการเงินลดลง ทำให้ความเสี่ยงขยายวงกว้างไปยังธนาคารต่าง ๆ
บริษัทหลักทรัพย์ เอเซียพลัส (ASPS) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า การตอบสนองของตลาดหุ้นไทย กับภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐฯ ค่อนข้างมีความสอดคล้องไปในทิศทางเดียวกันกับตลาดหุ้นดาวโจนส์ โดยเฉพาะในช่วงวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ (Hamburger Crisis) ในปี 2551 ตลาดหุ้นไทยติดลบมากกว่า -32% ส่งผลให้สถานการณ์วิกฤตธนาคารสหรัฐฯในปัจจุบัน มี Sentiment เชิงลบต่อตลาดหุ้นไทยที่น่าจะหลีกเลี่ยงได้ยาก
โดยตลาดหุ้นไทยวานนี้ (13 มี.ค.66) ปรับตัวลดลง 26.58 จุด หรือ 1.7% มากสุดในปีนี้ และทำจุดต่ำสุดของปี โดยกลุ่มหุ้นที่ปรับตัวลงแรง คือ ส่วนใหญ่เป็นสถาบันทางการเงิน อย่าง INSUR -5.3%, BANK -2.9%, FIN -3.3% เป็นต้น ส่วนกลุ่มที่แข็งแกร่งกว่าตลาด ส่วนใหญ่เป็นกลุ่ม Domestic อย่าง COMM, FOOD, HELTH, PROP เป็นต
อย่างไรก็ตามในภาวะรอตลาดหุ้นให้นิ่งขึ้น คาดกรอบเคลื่อนไหว SET วันนี้ 1,550 – 1,580 จุด กลยุทธ์ยังคงการลงทุนแนะนำถือเงินสดบางส่วน
สำหรับวันนี้เวลา 19.30 น. รอติดตามการประกาศเงินเฟ้อสหรัฐฯ เดือน ก.พ. โดยตลาดคาดว่าจะอยู่ที่ระดับ +6.0% YoY และ +0.4%MoM ปรับตัวลดลงจากเดือนก่อนหน้า ทั้งนี้หากเงินเฟ้อต่ำกว่าคาดการณ์ น่าจะเป็นแรงหนุนให้ เฟด ชะลอการขึ้นดอกเบี้ย และเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้น ส่วนทิศทางของ Fund Flow ยังคงเห็นการไหลเข้าสินทรัพย์ปลอดภัย