เมื่อช่วงเย็นวันที่ 5 ต.ค.ที่ผ่านมา เกิดเหตุคนร้ายประมาณ 10 คน แต่งกายชุดสีดำ ใช้รถกระบะ 2 คันเป็นพาหนะ บุกปล้นร้านทองในห้างบิ๊กซี สาขาสุไหงโก-ลก โดยคุมตัว รปภ.และยึดวิทยุสื่อสาร ก่อนลงมือกวาดทองคำไปได้ 400 บาทหลบหนี ระหว่างทางยังโรยตะปูเรือใบสกัดกั้น ก่อนวางระเบิดป่วนอีก 2 ครั้งซ้อนในพื้นที่รอยต่อ อ.สุไหงปาดี คาดสร้างสถานการณ์เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจเจ้าหน้าที่
ทั้งนี้จากเหตุการณ์ข้างต้น ความคืบหน้าเมื่อเวลา 21.30 น. เมื่อคืนที่ผ่านมา ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงได้รุดเข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุอย่างเร่งด่วน
จากการตรวจสอบเบื้องต้นและสอบปากคำพยานที่ยังอยู่ในอาการตื่นตระหนก ทราบว่าคนร้ายมีประมาณ 10 คน แต่งกายด้วยชุดสีดำ อำพรางใบหน้า นั่งมาบริเวณท้ายกระบะและในรถยนต์กระบะ 2 คัน ประกอบด้วย รถกระบะยี่ห้ออีซูซุ ดีแม็กซ์ สี่ประตู สีบรอนซ์เงิน ทะเบียน กค 6521 นราธิวาส และรถยนต์กระบะโตโยต้า วีโก้ ทะเบียน 7187 ปัตตานี
ทันทีที่มาถึง คนร้ายกลุ่มหนึ่งได้บุกเข้าไปภายในห้างฯ อย่างรวดเร็ว ตรงเข้าไปควบคุมตัวรปภ. ของห้างฯ พร้อมยึดวิทยุสื่อสาร ก่อนที่คนร้ายที่เหลือจะกรูเข้าไปยังร้านทองเยาวราชกรุงเทพ ใช้อาวุธ (ไม่ทราบชนิด) ข่มขู่พนักงาน แล้วลงมือกวาดทองรูปพรรณในตู้โชว์ไปอย่างรวดเร็ว มูลค่าประมาณ 400 บาท ความเสียหายอื่นๆ อยู่ระหว่างการประเมินอย่างละเอียดอีกครั้ง ก่อนจะวิ่งหลบหนีออกจากห้างฯ ไปขึ้นรถกระบะที่จอดรออยู่แล้วขับหลบหนีไปอย่างรวดเร็ว
นอกจากนี้คนร้ายได้ใช้อาวุธปืนยิง ส.อ.บุริศวร์ ระดาชัย ตำแหน่งนายสิบอาวุธเบา ชป.รพศ.408 บาดเจ็บ 1 นาย ถูกกระสุนปืนของคนร้ายที่บริเวณไหล่ขวา ขาซ้ายและเฉี่ยวแก้ม รวม 3 นัด ขณะเดินซื้อของไปปรับปรุงฐานปฏิบัติการ ก่อนที่คนร้ายจะนั่งรถยนต์กระบะยี่ห้ออีซูซุ รุ่นดีแม็ก ไม่ทราบหมายเลขทะเบียนหลบหนีไป โดยมุ่งหน้าไปเส้นทาง อ.สุไหงปาดี
โดยระหว่างหลบหนีได้มีคนร้ายอีกจำนวนหนึ่งโปรยตะปูเรือใบ และวางวัตถุต้องสงสัย 2 จุด ตามเส้นทางหลบหนีที่แยกยูเทิร์น บิ๊กซี และแยกอรกานต์
ต่อมามีการตรวจสอบพบว่าวัตถุต้องสงสัยดังกล่าว เป็นถังแก๊สหุงต้ม ซึ่งวางไว้ที่บริเวณถนนหน้ายูเทิร์น พร้อมโปรยตะปูเรือใบบนถนน โดยมีประชาชนที่สัญจรไปมาถูกตะปูเรือใบรถยนต์ได้รับความเสียหายไปหลายคัน
เจ้าหน้าที่จำเป็นต้องปิดเส้นทางขาเข้าและขาออกทั้ง 2 จุด เพื่อตรวจสอบและเก็บกู้วัตถุต้องสงสัยรวมถึงงเคลียร์ตะปูเรือใบ และเข้าช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ทหารและชาวบ้านที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุดักล่าว ส่งตัวรักษาที่โรงพยาบาลสุไหโก-ลก อย่างเร่งด่วน
ต่อมาเวลา 19.30 น ได้เกิดเหตุระเบิดดังขึ้น 1 ครั้งที่บริเวณถนนมัสยิดแยกอรกานต์ ซึ่งห่างจากห้างบิ๊กซี สาขาสุไหงโก-ลก ประมาณ 500 เมตร ในเบื้องต้นไม่มีผู้ใดบาดเจ็บ พร้อมกันพื้นที่ให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทำการตรวจสอบจุดเกิดเหตุต่างๆ ในวันนี้
อย่างไรก็ตาม ร.ท.พงศธร วงมาเกษ ผบ.ร้อย.ทพ.4801 ได้รับแจ้งจากผู้ใหญ่บ้านลูโบ๊ะบาตู ม.4 ต.ปะลุรู อ.สุไหงปาดี ว่ามีชาวบ้านโดนคนร้ายจี้ชิงรถยนต์กระบะรุ่นเดียวกับที่ใช้ก่อเหตุไปรวม 2 คัน
นอกจากนี้ในเบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้ทำการตรวจสอบกล้องวงจรปิดภายในห้างบิ๊กซี พบคนร้ายได้กระจายกันเดินเข้าไปภายในห้างทางประตูที่ 1 ด้านซ้ายมือ แล้วคนร้าย 1 คน ได้เดินเลี่ยงมาทางร้านจำหน่ายเสื้อผ้า หลังจากนั้นได้วิ่งกระโดดขึ้นตู้โชว์ที่วางทองรูปพรรณ ต่อหน้าพนักงานร้านทองที่กำลังเช็คถูเก้าอี้ที่ใช้ให้สำหรับลูกค้านั่ง
ทั้งนี้จากเหตุบุกปล้นทองดังกล่าวมีผู้ได้รับบาดเจ็บ 2 ราย คือ
1.ส.อ.บุรินศวร์ ระดาชัย ชป.รพศ.408 อายุ 27 ปี กระสุนแฉลบบริเวณคอ กระสุนทะลุอกขวาและบริเวณขา
2.จีรศักดิ์ เปาะหนิ อายุ 30 ปี เพศชาย อยู่ในอาการตกใจเนื่องจากคนร้ายจับเป็นตัวประกัน
ขณะที่ พลตรีวินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า ได้รับรายงานจากกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ว่าเมื่อวันที่ 5 ต.ค. เวลา 18.29 น. เกิดเหตุคนร้ายไม่ทราบกลุ่มและจำนวนได้ใช้อาวุธปืนยิงใส่เจ้าหน้าที่ของหน่วยเฉพาะกิจสันติสุข ที่อยู่ระหว่างซื้อของภายในห้าง จนบาดเจ็บ 1 นาย ทราบชื่อคือ สิบเอก บุริศวร์ ระดาชัย ซึ่งปัจจุบันได้นำส่งโรงพยาบาล เพื่อรับการรักษาจากทีมแพทย์จนมีอาการปลอดภัยเป็นที่เรียบร้อย
ปัจจุบันกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ได้จัดกำลังเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงทุกส่วน เร่งติดตามเส้นทางการหลบหนีของกลุ่มผู้ก่อเหตุเพื่อนำมาดำเนินคดีโดยเร็ว เนื่องจากพบว่าผู้ก่อเหตุได้มีการกระทำในลักษณะการวางแผนมาล่วงหน้า ทั้งการโจรกรรมรถยนต์ของชาวบ้านในพื้นที่ ซึ่งเป็นรถที่ใช้ในการก่อเหตุ รวมทั้งการตรวจพบวัตถุต้องสงสัยเพิ่มเติมในเส้นทางการหลบหนีของกลุ่มผู้ก่อเหตุ ทั้งระเบิดแสวงเครื่อง บริเวณยูเทิร์นหน้าห้างบิ๊กซี พร้อมกับการวางตะปูเรือใบ บนถนนบ้านโต๊ะลือเบ อ.สุไหงโกลก จ.นราธิวาส ซึ่งคาดว่าเพื่อเป็นการสกัดกั้นการติดตามของเจ้าหน้าที่
ทั้งนี้ ขอให้ประชาชนในพื้นที่ติดตามข่าวสารจากทางราชการอย่างเคร่งครัด เพื่อความปลอดภัยในการประกอบกิจกรรมต่างๆ ซึ่งหากพบเบาะแสของกลุ่มผู้เหตุสามารถแจ้งผ่านทางสายด่วนกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้าได้ในทันที