มาตรการค่ำว่าบาตรของสหรัฐและประเทศตะวันตกต่อรัสเซีย จากการบุกยูเครน กำลังกลายเป็น "สงครามเศรษฐกิจ" ครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นนับตั้งแต่ยุคสงครามเย็น เนื่องจากมาตรการที่ประกาศออกมาในครั้งนี้เป็นไปอย่างกว้างขวาง จากการถอนตัวทางธุรกิจออกจากรัสเซีย การตัดระบบการเงินออกจากระบบการเงินโลก และมาตรการยึดทรัพย์ของบรรดาเศรษฐีรัสเซียในหลายประเทศ
แม้ว่ามาตรการคว่ำบาตร ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ในครั้งนี้กระทำอย่างรวดเร็วและรุนแรง ซึ่งนักเศรษศาสตร์คาดว่าในระยะต่อไปจะกระทบทั่วโลกและนำไปสู่การจัดระเบียบโลกใหม่
"ไบเดน" ลั่น สงครามโลกครั้งที่ 3 เกิดแน่ หากสหรัฐช่วยยูเครนรบ
กองทัพรัสเซีย ยิงปืนใหญ่ถล่มใกล้กรุงเคียฟ
มาตรการคว่ำบาตรและยึดทรัพย์ของสหรัฐและประเทศตะวันตก รวมถึงบรรดาประเทศพันธมิตร นับว่าเป็นความเคลื่อนไหวที่รุนแรงมากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา โดยเมื่อพิจารณาจากความรวดเร็วและขนาดของมาตรการ ถือว่าเป็นสิ่งที่ผิดปกติอย่างมาก
ผู้นำทางการเมืองของประเทศตะวันตก บางคนบอกว่านี่เป็น "สงครามเศรษฐกิจ"ต่อรัสเซีย ในขณะที่มีข้อจำกัดเรื่องการใช้กำลังทหาร แต่ผู้นำทางการเมืองของรัสเซีย เตือนว่าให้ตะวันตกระมัดระวังการทำสงครามทางเศรษฐกิจ โดยบอกว่าในประวัติศาสตร์ สงคราม "จริง ๆ "มักจะเกิดตามมาจากสงครามเศรษฐกิจ
มาตรการแซงชั่น แม้จะดูรุนแรง แต่ก็เชื่อว่าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเป้าหมายของรัสเซียได้ในการเข้ายึดยูเครน แม้ว่าปูตินจะบอกว่าไม่ต้องการยึดประเทศ แต่การระดมกำลังทหารและท่าทีอื่นๆ ชี้ให้เห็นว่ารัสเซียต้องการยึดยูเครนมากกว่าต้องการ "สั่งสอน" ในการเข้าเป็นสมาชิกนาโต
แม้ว่าในระยะสั้น มาตรการแซงชั่นอาจไม่ส่งผลกระทบมากนักกับรัสเซีย แต่ในระยะยาวย่อมส่งผลกระทบตามมา ซึ่งต่อไปนี้เป็นมาตรการที่เริ่มมีผลทันทีนับตั้งแต่เริ่มประกาศใช้ ไม่รวมการตามยึดทรัพย์บรรดาเศรษฐีรัสเซียในหลายประเทศ
- สหรัฐและตะวันตก ตัดขาดธนาคารรัสเซียออกจากตลาดการเงินโลก ซึ่งผลที่ตามมาทำให้ครอบครัวชาวรัสเซีย ธุรกิจ ยากที่จะเข้าถึงแหล่งเงินทุน บัตรเครดิตและการค้าขาย
- ธุรกิจตะวันตกพากันถอนตัวออกจากรัสเซัย เช่น McDonald’s และ Starbucks รวมถึงธุรกิจการเงินอย่าง Goldman Sachs, JPMorgan Chase และรวมถึง Uniqlo ซึ่งการยุติดำเนินธุรกิจในรัสเซียจะส่งผลต่อการเติบโตทางเศรษบกิจของรัสเซียและความไม่พอใจของประชาชน
- ธุรกิจหยุดนำเข้าสินค้าจากรัสเซีย และส่งออกสินค้าไปจำหน่ายในรัสเซีย ซึ่งรวมถึงโทรศัพท์มือถือ รถยนต์ และสินค้าเทคโนโลยีอื่น
- ทางการรัสเซียกังวลกระทบต่อตลาดหุ้น ซึ่งขณะนี้ยังปิดทำการ
- ผลกระทบที่เกิดขึ้นทำให้ค่าเงินรูเบิลร่วงลงมาแล้ว 40% นับแต่สงครามเริ่มต้นขึ้น ราคาสินค้าที่นำเข้าเพิ่มขึ้นและกระทบต่อผู้มีรายได้น้อย
ในอดีต การคว่ำบาตร หรือแซงชั่น หากต้องการสร้างแรงกดดันต่อประธานาธิบดีวราดีเมียร์ ปูติน จะต้องมีผลต่อคนทั่วไป แต่มาตรการที่ดูดีด้วยการลงโทษบรรดาผู้นำหรือชนชั้นนำของรัสเซียอาจจะไม่ได้ผล หากต้องการเปลี่ยนแปลงนโยบายของรัสเซีย
แม้ว่ามาตรการแซงชั่นในขณะนี้อาจจะไม่มีผลต่อความพยายามช่วยเหลือยูเครน อีกทั้งทางรัสเซียเองก็ประกาศมาตรการยึดทรัพย์สินของชาวต่างชาติในรัสเซียเพื่อเป็นการตอบโต้ แต่อย่างไรก็ตม มาตรการแซงชั่นอาจจะได้ผล แต่ต้องใช้เวลาอีกพอสมควร
อย่างไรก็ตาม มาตรการแซงชั่นของบรรดาชาติตะวันตก ใช่ว่าจะไม่ได้ผลเลย ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์บางคนประเมินว่าเศรษฐกิจของรัสเซียจะเริ่มตกต่ำลงในไม่ช้า และนั่นจะเป็นแรงกดดันสำคัญจากในประเทศ แม้ว่าที่ผ่านมา ไม่ได้ผล แต่มาตรการครั้งนี้ถือว่ารุนแรงกว่าทุกครั้ง ซึ่งอาจสร้างแรงกดดันให้กับกลุ่มชนชั้นนำในรัสเเซียไม่พอใจนัก แม้ว่าการแสดงความไม่พอใจในสมัยปูตินไม่มีให้เห็น
มาตรการแซงชั่นยังไม่ได้ผลเต็มที่นัก เพราะยังมีธุรกิจที่ยังไม่เข้าข่าย โดยดำเนินการต่อไปในรัสเซีย
กลุ่มแรก เป็นกลุ่มพลังงาน ประเทศในยุโรปซื้อน้ำมันและก๊าซจากรัสเซียจำนวนมหาศาลในแต่ละปี หากยุติการซื้อก็จะส่งผลต่อราคาพลังงานเพิ่มขึ้นอย่างมาก
กลุ่มที่สอง บริษัทขนาดใหญ่หลายบริษัท ยังคงดำเนินธุรกิจในรัสเซีย เช่น Hyatt และ Marriott ยังคงดำเนินธุรกิจโรงแรมต่อไป รวมถึง Citi, Bridgestone Tire และ Philip Morris ยังคงดำเนินธุรกิจตามปกติในรัสเซีย
สรุปได้ว่ามาตรการแซงชั่นในครั้งนี้ กำลังกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการแบ่งขั้วอำนาจทางเศรษฐกิจโลกครั้งใหญ่ ผู้เชี่ยวชาญบางคนกำลังมองไปที่ "ระเบียบโลกใหม่" กำลังก่อนตัวขึ้นนับจากนี้ไป และวิกฤติการณ์ยูเครน ทำให้โลกไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป