วันเข้าพรรษา เป็นหนึ่งในวันสำคัญของศาสนาพุทธ ที่ต่อเนื่องมาจากวันอาสาฬหบูชา โดยเป็นวันที่พระสงฆ์เถรวาทจะอธิษฐานว่าจะพักประจำอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่งตลอดระยะเวลาฤดูฝนที่มีกำหนดระยะเวลา 3 เดือนตามที่พระธรรมวินัยบัญญัติไว้ โดยไม่ไปค้างแรมที่อื่น
พิธีเข้าพรรษา ตามปกติจะเริ่มนับในวันเข้าพรรษาแรก หรือปุริมพรรษา ในวันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 หรือถ้าหากปีใดมีเดือน 8 สองครั้ง ก็เลื่อนมาเป็นวันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 หลัง และออกพรรษา ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ซึ่งในปี 2567 นี้ วันเข้าพรรษา จะตรงกับวันที่ 21 กรกฏาคม
เปิดประวัติ และความสำคัญของ "วันอาสาฬหบูชา" และคำว่า "อาสาฬหบูชา"
9 อาหาร และ สิ่งของ ไม่ควรนำมาใส่บาตร อาจทำให้พระสงฆ์ต้องอาบัติได้
สำหรับการเข้าพรรษา หรือภาษาปากว่า จำพรรษา หรือช่วงพักฤดูฝน ("พรรษา" แปลว่า ฤดูฝน, "จำ" แปลว่า พักอยู่) ถือเป็นข้อปฏิบัติสำหรับพระสงฆ์ที่ละเว้นไม่ได้และเป็นช่วงเทศกาลทางศาสนาพุทธที่สำคัญของไทย ซึ่งกินระยะเวลา 3 เดือน โดยพุทธศาสนิกชนชาวไทยทั้งพระมหากษัตริย์และคนทั่วไป ได้สืบทอดประเพณีทำบุญในวันเข้าพรรษามาช้านานตั้งแต่สมัยสุโขทัย
สำหรับสาเหตุที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้พระสงฆ์จำพรรษาอยู่ ณ สถานที่ใดสถานที่หนึ่งตลอด 3 เดือน นั้นมีเหตุผลเพื่อให้พระสงฆ์ได้หยุดพักการจาริกเผยแพร่ศาสนาตามสถานที่ต่างๆ ซึ่งในช่วงฤดูฝน จะมีความยากลำบาก และเพื่อป้องกันความเสียหายจากการเดินเหยียบย่ำพืชผลของชาวบ้านที่ปลูกไว้ในฤดูฝน
ขณะที่ช่วงระยะเวลาจำพรรษาตลอด 3 เดือน ยังเป็นโอกาสสำคัญในรอบปีที่พระสงฆ์จะได้มาจำพรรษารวมกันภายในอาวาสหรือสถานที่ใดสถานที่หนึ่ง เพื่อศึกษาพระธรรมวินัยจากพระสงฆ์ที่ทรงความรู้ และได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์และสร้างความสามัคคีในหมู่คณะสงฆ์
กิจกรรมวันเข้าพรรษา
ในวันเข้าพรรษาและช่วงฤดูพรรษากาลตลอดทั้ง 3 เดือน พุทธศาสนิกชนชาวไทยถือเป็นโอกาสอันดีที่จะทำกิจกรรมบำเพ็ญกุศลต่างๆ อาทิ
- การเข้าวัดทำบุญใส่บาตร ฟังพระธรรมเทศนา
- การถวายหลอดไฟหรือเทียนเข้าพรรษา
- การถวายผ้าอาบน้ำฝน หรือผ้าวัสสิกสาฏก และจตุปัจจัยให้แก่ภิกษุและสามเณร เพื่อใช้ในช่วงจำพรรษา
นอกจากนี้ ในอดีตชายไทยที่เป็นพุทธศาสนิกชนเมื่ออายุครบบวช (20 ปี) จะนิยมถือบรรพชาอุปสมบทเป็นพระสงฆ์ เพื่ออยู่จำพรรษาตลอดฤดูพรรษากาลทั้ง 3 เดือน โดยพุทธศาสนิกชนไทยจะเรียกการบรรพชาอุปสมบทเพื่อจำพรรษาตลอดพรรษากาลว่า "บวชเอาพรรษา"
ข้อยกเว้นการจำพรรษาของพระสงฆ์
แม้การเข้าพรรษาจะเป็นข้อปฏิบัติสำคัญสำหรับพระภิกษุที่จะละเว้นไม่ได้ แต่ว่าในระหว่างการจำพรรษา อาจมีกรณีจำเป็นบางอย่าง ที่ทำให้พระภิกษุต้องออกจากสถานที่จำพรรษาเพื่อไปค้างที่อื่นชั่วคราวไม่เกิน 7 วัน ซึ่งพระพุทธองค์ทรงอนุญาตให้ทำได้โดยไม่ถือว่าเป็นการขาดพรรษา แต่ต้องเป็นเหตุจำเป็นเฉพาะกรณีตามที่ระบุไว้ในพระไตรปิฎก ซึ่งเรียกว่า "สัตตาหกรณียะ" ได้แก่
1.การไปรักษาพยาบาล หาอาหารให้ภิกษุหรือบิดามารดาที่เจ็บป่วย
2.การไประงับภิกษุสามเณรที่อยากจะสึกมิให้สึก
3.การไปเพื่อกิจธุระของคณะสงฆ์ เช่น การไปหาอุปกรณ์มาซ่อมกุฏิที่ชำรุด
4.หากนิมนต์ไปทำบุญ ก็ไปศีลให้ทาน รับศีล ฟังเทศนาธรรมได้
ซึ่งหากพระสงฆ์ออกจากอาวาสแม้โดยสัตตาหกรณียะล่วงกำหนด 7 วันตามพระวินัย ก็ถือว่า ขาดพรรษา และเป็นอาบัติทุกกฎเพราะรับคำ (รับคำอธิษฐานเข้าพรรษาแต่ทำไม่ได้)