บริษัทไมโครซอฟต์ (Microsoft) หนึ่งในยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีของโลก ออกมาประกาศชัดเจนแล้วเมื่อวานนี้ (23 ม.ค.) ว่า กำลังดำเนินความร่วมมือกับ OpenAI ห้องปฏิบัติการวิจัยปัญญาประดิษฐ์ (AI) ผู้พัฒนาแชตบอตชื่อดังที่กำลังเป็นกระแสในขณะนี้ นั่นคือ “ChatGPT”
โดยไมโครซอฟต์ประกาศความร่วมมือเชิงลึกด้วยการทุ่มงบลงทุนให้กับ OpenAI หลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐ
ไมโครซอฟต์พัฒนา “VALL-E” เอไอเลียนเสียงคนได้เหมือนเป๊ะในเวลา 3 วิ!
หวังแข่งกูเกิล ไมโครซอฟต์เล็งนำ “ChatGPT” มาใช้ในเสิร์ชเอนจิ้น
นี่มันอับดุลชัด ๆ ทำความรู้จัก “ChatGPT” แจ็คที่อาจมาฆ่ายักษ์ “กูเกิล”
ไมโครซอฟต์ระบุว่า ความร่วมมือนี้ จะทำให้บริษัทสามารถนำโมเดลปัญญาประดิษฐ์ของ OpenAI มาปรับใช้ในผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ของไมโครซอฟต์ได้ ไม่ว่าจะเป็นเสิร์ชเอ็นจิ้น Bing ไปจนถึงซอฟต์แวร์สำนักงาน เช่น Word, PowerPoint และ Outlook
ChatGPT แชทบอตปัญญาประดิษฐ์ซึ่งเป็นที่พูดถึงมาตั้งแต่เปิดตัวเมื่อเดือน พ.ย. ปีที่แล้ว จากความสามารถที่ราวกับอับดุลถามได้ตอบได้ของมัน โดยสามารถตอบโต้เราได้แทบจะในทุกเรื่อง ทั้งวิทยาศาสตร์ สถานการณ์บ้านเมือง ปรึกษาปัญหาความรัก การเขียนสูตรอาหาร บทกวี เขียนเอกสารสมัครงาน ทำการบ้านส่งครู หรือล่าสุดที่ทำข้อสอบแพทย์ได้ก็มี!
นอกจากนี้ ChatGPT ยังได้รับการขนานนามว่าเป็น “ตัวเปลี่ยนเกม” ที่จะท้าทายครูในมหาวิทยาลัยและโรงเรียน จากความกังวลว่านักเรียนกำลังใช้แชตบอตเพื่อเขียนเรียงความคุณภาพสูงส่งอาจารย์
อย่างไรก็ตามล่าสุด ChatGP เริ่มถูกโรงเรียนหลายแห่งในสหรัฐฯ ระงับการใช้งานภายในสถานศึกษาแล้ว เนื่องจาก ChatGP สามารถเขียนเรียงความการบ้านได้เหมือนมนุษย์ รวมถึงบทกวี แม้จะเป็นข้อมูลที่ถูกต้องและสะดวกสบาย แต่กลับไม่สามารถเสริมสร้างทักษะการเรียนรู้ให้กับเด็กได้
นอกจากนี้ International Conference on Machine Learning (ICML) เป็นการประชุมวิชาการระดับนานาชาติชั้นนำ เกี่ยวกับการเรียนรู้ของโปรแกรมด้วยตัวเอง ออกนโยบายห้ามนักวิจัยใช้ ChatGP เขียนรายงานทางวิทยาศาสตร์มาส่ง เนื่องจากยังแยกไม่ออกว่าใครเป็นผู้เขียนระหว่าง ChatGP กับนักวิจัย
ChatGPT ยังเป็นความท้าทายใหญ่ของเจ้าพ่อเสิร์ชเอนจิ้นอย่างกูเกิลด้วย ถึงขนาดที่ต้องมีการประกาศรัหัสแดงให้มีการจับตาการพัฒนาแชตบอตอัจฉริยะตัวนี้ เพราะเกรงว่า ChatGPT จะเข้ามา “Disrupt” และเปลี่ยนพฤติกรรมผู้ใช้งานเสิร์ชเอนจิ้นทั่วโลก
ซุนดาร์ พิชัย ซีอีโอกูเกิล ได้ประกาศ “Red code” ให้พัฒนาระบบ AI อย่างเร่งด่วน โดยภายในปี 2023 มีแผนจะเปิดตัวอย่างน้อย 20 ผลิตภัณฑ์ และรวมถึงแชตบอตสำหรับเครื่องมือค้นหา ขณะเดียมกันยังได้ดึง 2 อดีตผู้ก่อตั้งกูเกิล อย่าง แลร์รี่ เพจ และ เซอร์เกย์ บริน เข้ามามีส่วนร่วมในการวางแผนงานระบบ AI ด้วย
ในขณะเดียวกัน OpenAI นอกจากจะได้รับเงินทุนสำหรับการวิจัยต่อแล้ว จะได้รับการสนับสนุนซูเปอร์คอมพิวเตอร์เพิ่มเติมและคอมพิวเตอร์คลาวด์เพื่อช่วยในการพัฒนาและทำงานด้วย
การประกาศเมื่อวานนี้นับเป็นการลงทุนใน OpenAI ครั้งที่ 3 แล้วของไมโครซอฟต์ แต่ไม่ชัดเจนว่าไมโครซอฟต์ลงทุนไปกับ OpenAI คิดเป็นจำนวนเงินมูลค่าเท่าใด แต่ก่อนหน้านี้มีรายงานว่า บริษัทกำลังพิจารณาที่จะลงทุนใน OpenAI ด้วยการสนับสนุนมูลค่า 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (3.2 แสนล้านบาท)
สัตยา นาเดลลา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของไมโครซอฟต์กล่าวว่า “เราได้จับมือกับ OpenAI โดยมีเป้าหมายร่วมกันเพื่อพัฒนาการวิจัยปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ทันสมัย”
เขาเสริมว่า “ในระยะต่อไปของการเป็นหุ้นส่วนของเรา นักพัฒนาและองค์กรในอุตสาหกรรมต่าง ๆ จะสามารถเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐาน AI โมเดล และเครื่องมือที่ดีที่สุดด้วย Azure เพื่อสร้างและใช้งานแอปพลิเคชันของพวกเขา”
ทั้งนี้ เมื่อปี 2562 ไมโครซอฟต์ เคยเข้าไปลงทุนราว 1,000 ล้านดอลลาร์ ในบริษัท OpenAI ที่ก่อตั้งโดย อีลอน มัสก์ เจ้าของเทสล่า และทวิตเตอร์ ร่วมกับนักลงทุนชาวอเมริกัน มีเป้าหมายเพื่อศึกษาวิจัยด้านปัญญาประดิษฐ์ที่ไม่ต้องพึ่งพาบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของโลก และนับตั้งแต่นั้นมา OpenAI ได้สร้างซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่ได้รับการออกแบบมาเฉพาะ เพื่อสร้าง และฝึกโมเดลเอไอ (AI) ทั้ง GitHub Copilot, DALL•E 2 และ ChatGP ที่กำลังได้รับความนิยม
ChatGP เป็น AI ที่มีความสามารถในการสนทนาโต้ตอบกับมนุษย์ได้ ทั้งการตอบคำถามต่าง ๆ ด้วยข้อมูลอ้างอิงที่ถูกต้อง แปลภาษา เขียนบทความ และแม้กระทั่งการยอมรับข้อผิดพลาดของตนเอง โดยเบื้องหลังการทำงาน ChatGP มาจาก Reinforcement Learning from Human Feedback (RLHF) ซึ่งเป็นการฝึกด้วยการใช้ความคิดและความสามารถของมนุษย์เข้ามา ทำให้รูปแบบการโต้ตอบและการเขียนดูเป็นธรรมชาติเหมือนมนุษย์
เมื่อคืนที่ผ่านมาหุ้นไมโครซอฟต์ หรือ MSFT ในตลาดแนสแด็ก (NASDAQ) พุ่งขึ้นแตะ 245.17 ดอลลาร์ต่อหุ้น ก่อนปิดตลาดที่ราคา 242.58 ดอลลาร์ต่อหุ้น ปรับเพิ่มขึ้น 2.36 ดอลลาร์ หรือ +0.98% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 2 สัปดาห์
เรียบเรียงจาก The Guardian
ภาพจาก Shutterstock