ย้อนไปเมื่อปลายเดือนกันยายนปี 2024 มาร์ก เกอร์แมน เหยี่ยวข่าวจากบลูมเบิร์ก เคยออกมาเปิดเผยว่า ฟีเจอร์ “Siri AI” บน Apple Intelligence อาจเปิดให้ใช้งานได้ภายในเดือนมกราคมปี 2025 อย่างไรก็ตาม ผ่านมาถึงเดือนมีนาคมปี 2025 แล้ว ฟีเจอร์ Siri AI ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะเปิดให้ใช้งานแต่อย่างใด
กระทั่งล่าสุดมีรายงานว่า จาเคอลีน รอย ผู้บริหารฝ่ายสื่อสารองค์กรของ Apple ได้ออกมาให้รายละเอียดกับ จอห์น กรูเบอร์ บล็อกเกอร์จาก Daring Fireball ว่า “Siri AI” จะถูกเลื่อนเปิดตัวออกไปเป็นปี 2026
รอย ระบุว่า “Siri ช่วยให้ผู้ใช้งานค้นหาสิ่งที่พวกเขาต้องการและจัดการสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว และในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา เราได้ทำให้ Siri สามารถสนทนาได้เป็นธรรมชาติมากขึ้น พร้อมแนะนำฟีเจอร์ใหม่ ๆ เช่น การพิมพ์ให้กับ Siri ความรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ Apple และเพิ่มการบูรณาการกับ ChatGPT”
“นอกจากนี้ Apple ยังพัฒนา Siri ให้สามารถปรับแต่งให้เหมาะกับผู้ใช้แต่ละคนมากขึ้น ทำให้รับรู้บริบทส่วนบุคคลของผู้ใช้ได้มากขึ้น รวมถึงเพิ่มความสามารถในการดำเนินการแทนผู้ใช้งานทั้งภายในและระหว่างแอปฯ ได้ อย่างไรก็ตาม การเปิดตัวฟีเจอร์เหล่านี้อาจใช้เวลานานกว่าที่คิด และเราคาดว่าจะเปิดตัวในปีหน้า” รอย กล่าว
สำหรับฟีเจอร์ Siri AI ที่ Apple พูดถึงนั้นได้เปิดตัวพร้อมมีการสาธิตการใข้งานอย่างเป็นทางการแล้วในงาน WWDC 2024 พร้อมกับการเปิดตัว iOS 18 และมีการคาดการณ์ว่าจะเปิดตัวมาพร้อมกับอัปเดตเป็น iOS 18
แล้ว Siri AI ใช้งานอย่างไรได้บ้าง? โดย Siri AI มีฟังก์ชันการใช้งานอยู่ 3 รูปแบบด้วยกัน ประกอบด้วย
- Personal Context สามารถรับรู้บริบทาส่วนบุคคล พร้อมติดตามการใช้งานต่าง ๆ ของเรา ไม่ว่าจะเป็น อีเมล ข้อความ ไฟล์ รูปภาพ และอื่น ๆ เพื่อเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับตัวเรา เพื่อช่วยให้สามารถทำงานเสร็จตามที่เรามอบหมาย เช่น ช่วยแสดงไฟล์ที่ เอริค ส่งมาให้เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว, ค้นอีเมลที่ เอริค พูดถึงการเล่นสเก็ตน้ำแข็ง, ค้นหาหนังสือที่ เอริค แนะนำให้ฉัน, สูตรอาหารที่ เอริค ส่งมาให้ฉันอยู่ที่ไหน, และหมายเลขหนังสือเดินทางของฉันคืออะไร เป็นต้น
- Onscreen Awareness หรือ การรับรู้บนหน้าจอ จะช่วยให้ Siri เห็นสิ่งที่อยู่บนหน้าจอขณะที่เรากำลังใช้งาน และดำเนินการตามสิ่งที่เรากำลังดูอยู่ เช่น หากมีคนส่งที่อยู่มาให้ทางข้อความ เราสามารถสั่งให้ Siri เพิ่มที่อยู่นั้นลงในรายชื่อติดต่อได้ หรือหากเรากำลังดูรูปถ่ายและต้องการส่งให้ใครสักคน ก็สามารถขอให้ Siri ทำแทนเราได้ด้วย
- Deeper App Integration คล้ายกับ Personal Context แต่มีความลึกซึ้งขึ้น สามารถดำเนินการได้ทั้งภายในและระหว่างแอปฯ โดย Apple ยกตัวอย่างไว้เช่น สามารถช่วยย้ายไฟล์จากแอปฯ หนึ่งไปยังอีกแอปฯ หนึ่ง, สามารถแก้ไขรูปภาพแล้วส่งให้คนที่เราต้องการ, รับแผนที่เส้นทางกลับบ้านและส่งเวลาที่คาดว่าจะเดินทางไปถึงให้กับ เอริค, และส่งอีเมลที่เราร่างไว้ไปยังเมลที่เราต้องการ เป็นต้น
ที่มา: MacRumors