“หมอธีระวัฒน์” ชี้ ฉีดวัคซีน 2 โดสอาจไม่พอ เมื่อต้องเผชิญโควิดกลายพันธุ์
เป็นเรื่องเป็นข่าว

ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เปิดเผยผ่านรายการ “เป็นเรื่องเป็นข่าว” ให้ข้อมูลว่า วัคซีนต้านโควิด-19 จากเชื้อตายที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันอย่างเช่น ซิโนแวค หากฉีดเพียง 2 เข็ม ห่างกัน 1 เดือน พบว่าไม่สามารถทำให้ภูมิคุ้มกันขึ้นมากกว่า 70% ได้ในทุกคน ซึ่งเป็นปกติของวัคซีนเชื้อตาย ดังนั้นควรจะฉีดเพิ่มเป็นเข็มที่ 3 และระยะเวลาที่บีบรัดมากขึ้น จะเห็นได้จากกรณีของวัคซีนพิษสุนัขบ้า ก็ฉีดถึง 3 เข็มด้วยกัน และระยะห่างการฉีดไม่นาน จึงสามารอธิบายได้ว่า ทำไมภูมิคุ้มกันถึงไม่ค่อยได้เต็มร้อยทุกคน ขณะเดียวกัน เมื่อต้องสู้กับไวรัสตัวใหม่ วัคซีนจะมีประสิทธิภาพที่ด้อยลงเรื่อย ๆ
ส่วนวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า ยกตัวอย่างประเทศอังกฤษ แท้จริงแล้วกำหนดระยะห่างการฉีดระหว่างเข็มไว้ที่ 3 เดือน หรือ 12 สัปดาห์ ซึ่งขณะนี้บีบให้มากระชับเหลือเพียง 8 สัปดาห์เท่านั้น แต่ในขณะที่ไทย ด้วยความที่มีวัคซีนจำกัด จึงกำหนดไว้ 16 สัปดาห์ ซึ่งมองว่าคงไม่ทันการณ์ ควรจะกำหนดให้เป็น 8 สัปดาห์จะดีที่สุด
ศ.นพ.ธีระวัฒน์ ได้อธิบายการฉีดวัคซีนต้านโควิดเข็มที่ 3 ไว้ดังนี้
- หาก 2 เข็มแรกคือ “วัคซีนซิโนแวค” เข็มที่ 3 ควรเป็นยี่ห้ออื่น หากเลือกได้ควรฉีดยี่ห้อไฟเซอร์ หรือ โมเดอร์นาจะดีที่สุด แต่ถ้าไม่มีทางเลือก การฉีดแอสตร้าเซนเนก้าก็เห็นผลเช่นเดียวกัน
- หาก 2 เข็มแรกเป็น “วัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า” เข็มที่ 3 ควรจะเลือกเป็นวัคซีนไฟเซอร์ หรือโมเดอร์นาเท่านั้น เพราะถ้าเข็มที่ 3 ยังคงฉีดยี่ห้อเดิม อาจไม่เห็นผลเนื่องจากร่างกายเริ่มรับรู้แล้ว
ทั้งนี้ การฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 และ 3 ควรจะเว้นระยะเวลาห่างกันเท่าใดนั้น ต้องดูตามความจำเป็นของสถานการณ์โควิด-19 สายพันธุ์เบตา และเดลตา ว่าจะมีการแพร่กระจายได้เร็วมากน้อยแค่ไหน
อย่างไรก็ตาม หากสถานการณ์โควิด-19 เริ่มสงบ การฉีดวัคซีน 2 โดสน่าจะเพียงพอแล้ว แต่ถ้าหากสถานการณ์ไม่ดีขึ้น ประกอบกับมีการกลายพันธุ์ทำให้สามารถหลบหลีกวัคซีนได้ มองว่า 2 โดสคงไม่พอกับการต่อสู้กับสายพันธุ์ใหม่ที่เกิดขึ้น ซึ่งประเทศไทยมีครบทุกสายพันธุ์ที่ทั่วโลกหวั่นเกรง
ส่วนกรณีที่มีคนไปซื้อชุดตรวจภูมิคุ้มกัน (Rapid Test) มองว่าควรระวัง และอยากให้ทางการระงับไปทั้งหมด เนื่องจากมีความหลากหลาย คลาดเคลื่อนได้ เนื่องจากความไวในการตรวจ รวมทั้ง Rapid Test ไม่สามารถนำมาทดสอบประสิทธิภาพในการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันที่ยับยั้งไวรัสได้ สามารถดูระดับภูมิคุ้มกันคร่าว ๆ เท่านั้น