ในพิธีเปิดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก 2024 ที่กรุงปารีสเมื่อวันที่ 26 ก.ค. ที่ผ่านมา นอกจากขบวนพาเหรดนักกีฬาแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ดึงดูดสายตาและเป็นที่จดจำคือโชว์คั่นพิเศษที่ปรากฏให้เห็นเป็นระยะในระหว่างพิธี
โชว์พิเศษนี้ถูกแบ่งออกเป็น 12 บท ใช้ศิลปินรวมกว่า 2,000 คน ซึ่งจะบอกเล่าเรื่องราว บุคคลสำคัญ ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมของฝรั่งเศส ตลอดเส้นทางการล่องแม่น้ำแซนใจกลางกรุงปารีส
โทมัส จอลลี ผู้อำนวยการฝ่ายศิลป์ของพิธีเปิด กล่าวว่า โชว์เหล่านี้สะท้อนถึงประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม อาหาร หรือจิตวิญญาณของฝรั่งเศสได้เป็นอย่างดี และช่วยกระตุ้นจินตนาการของทุกคน โชว์เหล่านี้จะเชื่อมโยงและสะท้อนถึงผู้ที่รักปารีสได้
หลายคนอาจไม่รู้ว่าแต่ละโชว์มีความหมายว่าอย่างไร PPTV ได้รวมรวมคำอธิบายไว้ที่นี่แล้ว
เริ่มกันที่โชว์แรก “Enchanté” (อองชองเต) ซึ่งแปลว่า “ยินดีที่ได้รู้จัก” ในภาษาฝรั่งเศส เปิดพิธีด้วยโชว์สุดพิเศษ Mon Truc en Plumes” จากศิลปินหญิงระดับโลก “เลดี้ กาก้า” ต่อด้วยการแสดงระบำ “French Cancan” โดยกลุ่มศิลปินมูแลงรูจ (Moulin Rouge) กว่า 80 ชีวิตซึ่งมาใชชุดสีชมพูสดใส
ระหว่างทาง นักกีฬาจะเคลื่อนขบวนผ่านบุคคลดังและตัวละครจากวรรณกรรมและภาพยนตร์นั่งอยู่บนกำแพงริมฝั่งแม่น้ำแซน เช่น โจนออฟอาร์ก วีรสตรีผู้กอบกู้ฝรั่งเศส, โจเซฟีน เบเกอร์ นักเต้นสายเลือดอเมริกันผู้พยายามหยุดสงครามโลกครั้งที่ 2, มารี คูรี นักวิทยาศาสตร์หญิงผู้คว้ารางวัลโนเบล และอาร์แซน ลูแปง สุภาพบุรุษโจรสุภาพบุรุษ ฯลฯ
ในโชว์แรกนี้ยังมีหลายคนสังเกตเห็นบุรุษลึกลับสวมฮู้ดปิดบังหน้าตาคล้ายตัวละครจากหลากหลายรเรื่อวราว เช่น Assassin’s Creed, Phantom of the Opera และลูแปง ผสมกัน ซึ่งเขาคนนี้จะคอยถือคบเพลิงวิ่งไปตามเส้นทางเพื่อสะท้อนถึงการบอกเล่าเรื่องที่เกิดขึ้น
ในโชว์ที่สอง “Synchronicité” (ซังโครนิซิเต) ซึ่งแปลว่า “ความสอดคล้องเป็นหนึ่งเดียวกัน” ผู้ชมจะได้รับชมการเต้นอย่างพร้อมเพรียงบนมหาวิทการนอเทรอดาม ซึ่งเกิดเหตุไฟไหม้ไปเมื่อปี 2019 และอยู่ระหว่างการบูรณะ
โดยมีนักเต้น 500 คนจากหลายกลุ่มบนสะพานนอเทรอดามและหลังคาอาหารโดยรอบ เพื่อเป็นการยกย่องช่างฝีมือ ช่างก่อสราง ผู้คน และพลังงานของปารีส และสิ่งที่เกาะอยู่บนยอดแหลมของนอเทรอดามเป็นการยกย่อง “ควาซิโมโด” หรือ “คนค่อมแห่งนอเทรอดาม”
ถัดมาคือโชว์ “Liberté” (ลิแบร์เต) หรือ “เสรีภาพ” มีการแสดงความเคารพต่อผลงานของ วิกเตอร์ อูโก นักเขียนชาวฝรั่งเศสในศตวรรษที่ 19 ด้วยการแสดงฉาก “Do You Hear the People Sing?” จากละครเพลงเรื่อง “Les Misérables” (เล มีเซราบล์ส) ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับการปฏิวัติฝรั่งเศส ซึ่งเป็นหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์สำคัญของชาติ
นอกจากนี้ยังมีการแสดงเพลง “Ça ira” โดยสมาชิกคณะนักร้องประสานเสียงที่แต่งกายเป็นพระราชินี มารี อ็องตัวแน็ต ราชินีองค์สุดท้ายแห่งฝรั่งเศส ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดการลุกฮือขึ้นมาปฏิวัติฝรั่งเศส โดยนักแสดงปรากฏตัวในสภาพพระนางมารีที่ถูกกิโยตินตัดศีรษะจนขาด
ต่อด้วยการแสดงจากวงเมทัล Gojira และนักร้องโอเปรา มารีนา วิอ็อตติ ซึ่งขับร้องอยู่บนเรือ เป็นการอ้างอิงถึงเรือที่ประดับอยู่บนตราสัญลักษณ์ของเมืองปารีส
โชว์ที่ 4 คือ “égalité” (เอแกลิเต) หรือ “ความเท่าเทียม” เป็นการแสดงพลุไฟที่ โทมัส จอลลี ต้องการสื่อว่า ยุคสมัย แนวเพลง วัฒนธรรม ฯลฯ ที่แตกต่างกัน มีความเท่าเทียมกันอย่างไร คำตอบที่เขาได้คือพลุไฟ
หลังจากนั้นเป็นโชว์ “Fraternité” (ฟราแตร์นิเต) ที่แปลได้ว่า “ภราดรภาพ” ผู้ถือคบเพลิงลึกลับปรากฏตัวอีกครั้งที่โถงพิพิธภัณฑ์ลูฟร์ พิพิธภัณฑ์ที่มีชื่อเสียงใจกลางกรุงปารีส ผู้ถือคบเพลิงวิ่งผ่านภาพวาดชื่อดังหลายภาพในขณะที่ตัวละครจากงานศิลปะมีชีวิตขึ้นมาและปรากฏตัวกลางแม่น้ำแซน
โดยขณะที่นักกีฬาแล่นเรือผ่านสะพาน Pont Royal งานศิลปะที่มีชื่อเสียงจากพิพิธภัณฑ์ลูฟร์ซึ่งสร้างขึ้นใหม่ด้วยความพิถีพิถัน เรียงรายอยู่ริมฝั่งแม่น้ำแซน
งานศิลปะทั้งห้าชิ้น ได้แก่ ภาพเหมือนของ Madeleine ซึ่งวาดโดย Marie-Guillemine Benoist ในปี 1803, ภาพ Gabrielle d’Estrées and One of Her Sisters, ภาพนูนต่ำของ Seti I and Hathor, ภาพเหมือนของ Shah Abbas I and His Page, และ The Card Sharp with the Ace of Diamonds ของ Georges de la Tour
ในโชว์นี้ผู้ถือคบเพลิงลึกลับยังได้ค้นพบว่า ภาพวาด “โมนาลิซ่า” ถูกขโมยไปอีกแล้ว นี่คืองานศิลปะที่มีชื่อเสียงที่สุดของพิพิธภัณฑ์ลูฟร์ซึ่งวาดโดย เลโอนาร์โด ดา วินชี ถูกขโมยไปในปี 1911 และถูกพบในปี 1913
ผู้ถือคบเพลิงลึกลับค้นพบว่า โมนาลิซ่าที่ถูกขโมยไปนั้น ตกไปอยู่ในความครอบครองของ “มินเนียน” (Minion) ลูกกระจ๊อกสุดกวนและน่ารักจากภาพยนตร์เรื่อง “Despicable Me” ซึ่งผลิตโดย Illumination Studios ที่ตั้งอยู่ในปารีส
โชว์ที่ 6 เป็นโชว์เพื่อสตรีโดยเฉพาะ ใช้ชื่อว่า “Sororité” (โซโฮริเต) ที่มีความหมายว่า “สโมสรสตรี” เชิดชูสตรีชาวฝรั่งเศส นำเสนอผ่านเพลงชาติฝรั่งเศส “La Marseillaise” ที่ขับร้องโดย อักเซล แซ็งต์ ซีเรล ที่มาในชุดธีมธงชาติฝรั่งเศส บนหลังคาของกรองด์ปาแล (Grand-Palais)
พร้อมกันนั้นได้มีรูปปั้นทองคำ 10 ชิ้นโผล่ขึ้นมาจากแม่น้ำแซน โดยแต่ละชิ้นถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่สตรีผู้โดดเด่นในประวัติศาสตร์ฝรั่งเศส ได้แก่ Olympe de Gouges, Alice Milliat, Gisèle Halimi, Simone de Beauvoir, Paulette Nardal, Jeanne Barret, Louise Michel, Christine de Pizan, Alice Guy และ Simone Veil
รูปปั้นทั้ง 10 นี้จะถูกมอบให้กับทางการกรุงปารีสเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ต่อไป
โชว์ที่ 7 “Sportsmanship” (ความเป็นนักกีฬา) เชื่อมโยงประวัติศาสตร์ของฝรั่งเศสกับกีฬาสมัยใหม่ โดยนักแสดงเกือบ 40 คนจะนำตัวละครต่าง ๆ จากประวัติศาสตร์ฝรั่งเศสมาโชว์บนแท่นลอยน้ำ 5 แท่นที่กลางแม่น้ำแซน และเป็นการยกย่องกีฬาบางประเภทที่ได้รับเลือกสำหรับการแข่งขันโอลิมปิก 2024 ซึ่งรวมถึงกีฬาเซิร์ฟด้วย
เข้าสู่โชว์ที่ 8 “Festivity” (เทศกาล) เป็นการแสดงดีเจและแฟชั่นโชว์ที่สะพานเดบิลี (Debilly) โดยมี บาร์บารา บัตช์ ดีเจและโปรดิวเซอร์ชาวฝรั่งเศสเล่นเพลงประกอบการแสดง ขณะที่นักออกแบบชาวฝรั่งเศสรุ่นเยาว์จะได้แสดงผลงานของตนเองให้คนดังต่าง ๆ ได้ชม
ต่อมาในโชว์ที่ 9 “Obscurité” (อ็อบคิวริเต) ที่แปลได้ว่า “ความมืดมิด” เพื่อเตือนเราถึงความเปราะบางของโลก โดยแสดงพื้นดินใต้เท้าของนักเต้นกำลัง “พังทลายลง” เผยให้เห็นถึงปัญหาที่มนุษย์ต้องเผชิญ
ก่อนที่โชว์จะเข้าสู่เพลงหลักอีกเพลงหนึ่งของพิธีเปิดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกในอดีต นั่นคือเพลงคลาสสิกอมตะอย่าง “Imagine” ของ จอห์น เลนนอน และโอโนะ โยโกะ บรรเลงโดย โซเฟียน ปามาร์ต และขับร้องโดย จูเลียต อาร์มาเนต์
การแสดงชุดที่ 10 คือ “Solidarity” (ความสามัคคี) มีสตรีในชุดเกราะสวมเสื้อคลุมลายห่วงโอลิมปิก ขี่ม้าเหล็กล่องไปตามแม่น้ำแซน และยังเป็นผู้เชิญธงโอลิมปิก
ผู้หญิงในชุดเกราะคือ ฟลอเรียน อิสแซร์ เป็นเจ้าหน้าที่ประจำกองตำรวจ เธอได้รับมอบหมายให้เป็น “ตัวแทนของจิตวิญญาณโอลิมปิก” และ “เซควานา” เทพธิดาแห่งแม่น้ำแซน
ช่วงถัดมาคือ “Solemnity” (ความเคร่งขรึม) ซึ่งเป็นช่วงของขั้นตอนที่เป็นทางการ โดยการมอบรางวัล Olympic Laurel Award ให้กับ ฟิลิปโป กรานดี ข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ และเป็นผู้สนับสนุนทีมโอลิมปิกผู้ลี้ภัยรายใหญ่
ต่อด้วยพิธีการที่ โทนี เอสตังเกต์ แชมป์โอลิมปิก 3 สมัย ประธานจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก 2024 ที่ปารีส กล่าวกับบรรดานักกีฬาว่า “ในอีก 16 วันข้างหน้านี้ คุณจะเป็นคนในเวอร์ชันที่ดีที่สุด คุณจะย้ำเตือนเราว่า กีฬาเป็นภาษาสากลที่เราทุกคนต่างแบ่งปันกัน จนถึงวันที่ 11 สิงหาคม เราจะอยู่เคียงข้างคุณ”
เขาเสริมว่า ไความพ่ายแพ้ของคุณจะเป็นความพ่ายแพ้ของเรา ชัยชนะของคุณจะเป็นชัยชนะของเรา อารมณ์ของคุณจะเป็นอารมณ์ของเรา”
ด้าน โทมัส บาค ประธานคณะกรรมการโอลิมปิกสากล (IOC) ขึ้นกล่าวเป็นคนถัดมา “จะมีที่ไหนดีไปกว่าปารีสในการแบ่งปันความมหัศจรรย์ของการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกครั้งนี้กับคนทั้งโลก ... ปารีสเป็นบ้านเกิดของผู้ก่อตั้งของเรา ปิแอร์ เดอ กูแบร์แต็ง ผู้ทำให้ปารีสเป็นเมืองแห่งแสงสว่าง ที่เขาสร้างการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกสมัยใหม่ขึ้นมา ทำให้ปารีสเป็นเมืองแห่งความรัก”
จากนั้นประธานาธิบดีฝรั่งเศส เอ็มมานูเอล มาครง ขึ้นกล่าวว่า “บางคนอาจพูดว่า เราในโลกของโอลิมปิกนั้นเป็นนักฝัน แต่เราไม่ได้เป็นอยู่เพียงคนเดียว นักกีฬาโอลิมปิกจากทั่วทุกมุมโลก แสดงให้เราเห็นว่ามนุษย์อย่างเรามีความยิ่งใหญ่ได้เพียงใด”
ลำดับถัดมามาครงกล่าวเป็นาษาฝรั่งเศสว่า “ข้าพเจ้าขอประกาศว่าการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกครั้งที่ 33 ได้เริ่มขึ้นแล้ว!”
และในการแสดงที่ 12 การแสดงสุดท้าย ใช้ชื่อว่า “Éternité” (อีแทร์นิเต) หรือ “ความเป็นนิรันดร์” ผู้ถือคบเพลิงลึกลับที่เราเห็นตอนเริ่มต้นพิธีเมื่อ 3 ชั่วโมงก่อนหน้า ได้ส่งต่อคบเพลิงให้กับนักกีฬาระดับตำนาน ไม่ว่าจะเป็น “ซีเนดีน ซีดาน” นักฟุตบอล, “ราฟาเอล นาดาล” นักเทนนิสชาวสเปน จนส่งมอบคบเพลิงให้กับผู้ถือคบเพลิงคนสุดท้าย คือ “เท็ดดี ไรเนอร์” และ “มารี-โฮเซ เปเรค” เพื่อนำไปจุดไฟกวงใหญ่ที่สุดครั้งสุดท้าย
ก่อนที่พิธีปิดจะอำลาไปด้วยการแสดงสุดท้ายจากนักร้องชาวแคนาดา “เซลีน ดิออน” ซึ่งหายหน้าไปจากวงการหลังป่วยด้วยโรคคนแข็ง (Stiff Person Syndrome)
เธอแสดงผลงานที่มีชื่อเสียงของ Édith Piaf อย่าง Hymne à l’amour (บทเพลงแห่งความรัก) ซึ่งเขียนขึ้นเพื่ออุทิศให้กับ มาร์เซล เซอร์ดาน นักมวยซึ่งเสียชีวิตจากอุบัติเหตุเครื่องบินตก
และนี่คือโชว์สุดพิเศษอลังการในค่ำคืนพิธีเปิดกีฬาโอลิมปิก 2024
เรียบเรียงจาก Olympics / Associated Press / Washington Post