ท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ไทยปี66 คาดฟื้นเร็ว ได้แรงหนุนต่างชาติ-เทรนด์สุขภาพ
การท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ไทยฟื้นเร็ว คาดปีหน้า 2566 รายได้โต 2.5 หมื่นล้านบาท จากปัจจัยหนุนต่างชาติเข้าประเทศมากขึ้น กระแสการดูแลเชิงสุขภาพหลังช่วงโควิด-19 รวมถึงมีค่าใช้จ่ายต่ำท่ามกลางเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง
เปิด 3 ปัจจัยเสี่ยงตลาดหุ้นปี 2566 ที่นักลงทุนอาจคาดไม่ถึง!
มหากาพย์ "หุ้น MORE" การซื้อขายสะเทือนกระดานหุ้นไทย
แนวโน้มเทรนด์สุขภาพ ปี 2023 ที่มีโควิดเป็นปัจจัยเปลี่ยนแปลงสำคัญ!
ประเทศไทยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้นเร็วเกินคาด หลังเปิดประเทศช่วงกลางปี 2565 ซึ่งในจำนวนนี้ส่วนหนึ่งเป็นการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ ที่ไทยได้รับความนิยมและมีชื่อเสียง โดยในช่วงวิกฤตโควิด-19 รายได้จากการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ของไทยลดลงมาก สาเหตุจากมาตรการล็อกดาวน์ทั่วโลก แต่เริ่มทยอยปรับดีขึ้นในปี 2564 และปี 2565 คาดว่ารายได้จะขยับเพิ่มขึ้นเป็น 80% ของรายได้ก่อนวิกฤตโควิด-19 ในปี 2562 และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในปี 2566 แตะ 2.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นระดับก่อนการเกิดวิกฤตโควิด-19
โดยระบบดูแลสุขภาพไทยติดอันดับ 5 ของโลกและเป็นอันดับ 1 ของเอเชีย ด้วยความพร้อมในการรับมือการแพร่ระบาดรวมทั้งระบบสาธารณสุขและการปฏิบัติตามมาตรฐานสากลในภาพรวมอยู่ในระดับดี ทั้งนี้ไทยมีค่าใช้จ่ายทางการแพทย์ต่อประชากรต่ำที่สุดใน 10 ประเทศ โดยเฉลี่ยรายละ 296 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี ขณะที่เกาหลีใต้อยู่ที่อันดับ 9 ด้วยค่าใช้จ่าย 3,406 ดอลลาร์สหรัฐ
ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี หรือ ttb analytics คาดการณ์ว่า แนวโน้มรายได้การท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ จะเติบโตเทียบเท่าก่อนวิกฤตโควิด-19 ในปี 2566 โดยในช่วงปี 2562 ก่อนเกิดการแพร่ระบาดโควิด-19 รายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติอยู่ที่ 1.9 ล้านล้านบาท จากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ 40 ล้านคน ซึ่งรวมนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาไทยเพื่อรักษาโรคควบคู่ไปกับการท่องเที่ยวด้วย
ในการประมาณการรายได้ในภาพรวมได้พิจารณาจากรายได้ของโรงพยาบาลเอกชนที่ให้บริการคนไข้ต่างชาติ ซึ่งมีสัดส่วนราว 15% ของรายได้รวม ทำให้รายได้การท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ ในปี 2562 อยู่ที่ราว 2.47 หมื่นล้านบาท และในช่วงวิกฤตโควิด-19 รายได้ลดลงมากกว่า 100%
อย่างไรก็ดี ในปี 2565 เมื่อสถานการณ์โควิด-19 ดีขึ้น และได้เปิดประเทศเต็มรูปแบบ ทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งรวมถึงนักท่องเที่ยวที่เดินทางมารักษาตัวมีอัตราเพิ่มขึ้นรวมทั้งปี 2565 อยู่ที่ 10.5 ล้านคน และประมาณการรายได้ในส่วนการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ 1.9 หมื่นล้านบาท หรือคิดเป็น 80% ของรายได้เชิงการแพทย์ของปี 2562
ขณะที่ในปี 2566 คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมาไทยจะเพิ่มขึ้นเป็น 22 ล้านคน นำโดยนักท่องเที่ยวจากอาเซียน เอเชียใต้ เอเชียตะวันออก และตะวันออกกลาง ซึ่งพบว่า กลุ่มดังกล่าวเป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มเข้ามาเพื่อเข้ารับการรักษา หรือเป็นกลุ่มตลาดหลักของการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ ดังนั้น มีแนวโน้มที่รายได้จะเติบโตต่อเนื่อง คาดอยู่ที่ 2.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งเทียบได้กับระดับรายได้ในช่วงก่อนวิกฤตโควิด-19 แม้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยรวมจะอยู่แค่ 50% ของปี 2562 ก็ตาม
เทรนด์การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ และการพัฒนาใช้เทคโนโลยีการแพทย์สมัยใหม่เป็นปัจจัยหลักหนุนการเติบโตของการท่องเที่ยวเชิงพาณิชย์ในอนาคต
หลังวิกฤตโควิด-19 ทั่วโลกได้รับบทเรียนถึงผลกระทบอย่างรุนแรงที่เกิดทั้งในเชิงเศรษฐกิจและสังคม ขณะที่โรคอุบัติใหม่มีแนวโน้มที่เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา แนวคิดการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับตนเอง เป็นกระแสที่ได้รับการตอบรับจากประชากรทั่วโลกในการใส่ใจดูแลรักษาสุขภาพ และการแสวงหาจุดหมายปลายทางที่ตอบโจทย์ในด้านนี้จึงเป็นที่มาของการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ โดยจะมาแทนที่การท่องเที่ยวแบบดั้งเดิมจากนักท่องเที่ยวกลุ่มไฮเอนด์ที่มีคุณภาพและกำลังซื้อสูง
สำหรับในปี 2566 เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มขยายตัวในอัตราชะลอลงจากปัญหาเงินเฟ้อที่ยังคงอยู่ในระดับสูง การดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดโดยเฉพาะประเทศเศรษฐกิจหลัก ทั้งสหรัฐอเมริกา ยุโรป และจีน ซึ่งในสถานการณ์เช่นนี้ จึงเป็นที่มาของผู้ที่ใส่ใจสุขภาพมีแนวโน้มที่จะเดินทางไปรักษาในประเทศทางเลือกที่มีค่าใช้จ่ายต่ำกว่า
ดังนั้น จึงมองเป็นโอกาสสำหรับประเทศไทยที่จะเป็นจุดหมายปลายทางของการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากมีศักยภาพรองรับในหลายด้านทั้งความสามารถของบุคลากรทางการแพทย์ โรงพยาบาลที่ได้การรับรองตามมาตรฐานสากล และการมีค่าใช้จ่ายทางการแพทย์ที่เปรียบเทียบแล้วยังอยู่ในระดับต่ำ ตลอดจนการปรับหลักเกณฑ์วีซ่าใหม่ เพื่อหนุนให้คนไข้ต่างชาติเลือกเดินทางมาใช้บริการรักษาพยาบาลในประเทศไทย
ขณะที่ปัจจุบันมีกลุ่มนักท่องเที่ยวที่สนใจเดินทางมาประเทศไทยเพื่อใช้บริการเทรนด์การดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน ซึ่ง Global Wellness Institute คาดว่า ธุรกิจกลุ่มนี้จะมีอัตราเติบโตเฉลี่ยสูงถึง 8.1% ต่อปี นอกจากนี้ ยังมีเทคโนโลยีทางการแพทย์ใหม่อื่น ๆ อาทิ
การใช้เทคโนโลยีตรวจรหัสพันธุกรรม (Genes) เพื่อหาความเสี่ยงโรคพันธุกรรมเป็นธุรกิจที่ค่อนข้างใหม่แต่มีศักยภาพเติบโตสูง การตรวจรหัสพันธุกรรมเป็นการตรวจหาข้อมูลสุขภาพเชิงลึกเพื่อที่ผู้ตรวจจะได้รับรู้ข้อมูลสุขภาพของตนและทำการรักษาได้ทันท่วงที
การใช้หุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด (Robotic Surgery) ช่วยทำให้การผ่าตัดมีความแม่นยำสามารถทำการผ่าตัดในจุดที่เข้าถึงได้ยาก และลดเวลาใช้ในการผ่าตัด ปัจจุบันเราเริ่มเห็นว่าการใช้หุ่นยนต์มาช่วยในการผ่าตัดเริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้นในประเทศไทยหลายโรงพยาบาลเริ่มนำเทคโนโลยีหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัดมาใช้