ทั่วโลกต้องการน้ำมันพุ่งสูงสุดรอบ 19 ปี หลังพ้นโควิด จับตา "ไฮโดรเจน" พลังงานทางเลือก
ทั่วโลกหลังผ่านช่วงวิกฤตโควิด-19 ความต้องการน้ำมันดิบเริ่มปรับตัวสูงขึ้นในหลายประเทศ มีการคาดการณ์ว่า ปี 2566 ความต้องการจะพุ่งสูงสุดในรอบ 19 ปี ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก
หุ้นไทยครึ่งปี 66 ต่างชาติเทขาย 1 แสนล้านบาท กดดัชนีร่วง 10% เงินบาทอ่อนยวบ
“พลังงาน” รอความชัดเจน “คลัง” ต่อเวลาลดภาษีดีเซลหรือไม่
ในปี 2563 ทั่วโลกเผชิญสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคโควิด-19 (COVID-19) ซึ่งส่งกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างหนักในทุกประเทศ เนื่องจากการเดินทางของผู้คนลดลง จากการปิดประเทศของหลายชาติ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19 ทำให้ความต้องการใช้น้ำมันทั่วโลกปรับลดลงตาม
แต่หลังจากนั้นไม่กี่ปี บางประเทศเริ่มผลิตวัคซีนออกมาป้องกันโควิด-19 ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจหลายประเทศ เริ่มกลับมาคึกคักอีกครั้ง โดยเฉพาะการท่องเที่ยว และความต้องการใช้น้ำมันทั่วก็ปรับเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
ล่าสุดเว็บไซต์ statista เปิดเผยข้อมูลในปี 2565 ความต้องการใช้น้ำมันทั่วโลกปรับตัวสูงขึ้นอยู่ที่ 99.57 ล้านบาร์เรลต่อวัน และมีการคาดการณ์ว่าในปี 2566 ความต้องการใช้น้ำมันจะสูงขึ้นอีกแตะระดับ 101.89 ล้านบาร์เรลต่อวัน โดยเป็นอัตราที่สูงกว่าในปี 2562 ที่เป็นช่วงก่อนจะเกิดการแพร่ระบาดโควิด-19 อยู่ที่ 100.27 ล้านบาร์เรลต่อวัน
ทั้งนี้กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน หรือ โอเปก (OPEC) ได้คาดการณ์ความต้องการใช้น้ำมันทั่วโลกจะสูงถึง 109.8 ล้านบาร์เรลต่อวัน ภายในปี 2588
โดยเฉพาะกลุ่มน้ำมันที่ใช้ในด้านการขนส่งจะมีความต้องการใช้มากสุด ซึ่ง คาดว่าในปี 2588 ความต้องการใช้น้ำมันดีเซลจะอยู่ที่ 30.1 ล้านบาร์เรล และ ความต้องการใช้น้ำมันเบนซิน จะอยู่ที่ 27.6 ล้านบาร์เรล
อย่างไรก็ตาม แม้กลุ่มโอเปกจะมองว่า ในอนาคตความต้องการใช้น้ำมันจะมีความสำคัญมากขึ้น แต่ในขณะนี้นานาประเทศกำลังมุ่งหน้าลดคาร์บอนเป็นศูนย์ หรือ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (net zero) ซึ่งได้กลายเป็นนโยบายระดับโลก จากการลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในภาคพลังงาน และในระบบเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ
รวมถึงยังมีความพยายามที่จะมองหาทางเลือกอื่น ๆ มาทดแทนน้ำมันที่เป็นเชื้อเพลิงฟอสซิล อย่างเช่นพลังงานไฮโดรเจน ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงเผาไหม้มีประสิทธิภาพสูง และปริมาณความต้องการกำลังพุ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ
ปัจจุบันพลังงานไฮโดรเจน สามารถผลิตได้จาก 3 แหล่งหลัก คือ 1.จากเชื้อเพลิงฟอสซิล เช่น ก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน และ น้ำมันปิโตรเลียม 2.จากแหล่งพลังงานหมุนเวียน เช่น ชีวมวล พลังงานน้ำ และ 3.จากพลังงานนิวเคลียร์
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา (26-30 มิ.ย.66) ราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยปรับลดลง โดยปัจจัยหลักถูกกดดันจากความกังวลการปรับขึ้นดอกเบี้ย ภายหลังนายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ หรือ เฟด (FED) ส่งสัญญาณปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งติดต่อกันในปีนี้ ในการประชุมวันที่ 25-26 ก.ค. และ 19-20 ก.ย. 66
รวมทั้ง นางคริสตีน ลาการ์ด ประธานธนาคารกลางยุโรป หรือ อีซีบี (ECB) ก็ส่งสัญญาณมีแนวโน้มปรับขึ้นดอกเบี้ยอีกเช่นกัน เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อในยุโรปยังอยู่ในระดับสูง
ขณะเดียวกันจีนผู้นำเข้าน้ำมันรายใหญ่ของโลก ได้รายงานกำไรภาคอุตสาหกรรมปรับลดลง 18.8 % ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2566 เนื่องจากได้รับผลกระทบจากอุงสงค์ที่อ่อนแอ และเศรษฐกิจฟื้นตัวช้ากว่าที่คาด
บริษัทหลักทรัพย์ เอเซียพลัส ประเมินว่า แนวโน้มราคาน้ำมันดิบในขณะนี้ยังอยู่ในภาวะผันผวนจากทั้งอุปสงค์ และอุปทานที่แท้จริง รวมถึงประเด็นบวกและลบต่อราคาน้ำมันที่เกิดขึ้นระหว่างทาง ซึ่งฝ่ายวิจัยฯมองว่า ทิศทางราคาน้ำมันน่าจะเริ่มมี downside ที่จำกัด โดยหลังจากนี้การปรับตัวขึ้นของราคาจะมีเสถียรภาพมากแค่ไหน ขึ้นอยู่กับอุปสงค์ ที่แปรผันตามการเติบโตของเศรษฐกิจโลก