ออนแอร์แล้ว “คุยกับเศรษฐา” เปรียบประเทศไทย เหมือน Ferrari 12 สูบ แต่วิ่งแค่ 6-7 สูบ
ออกอากาศวันแรกสำหรับรายการ “คุยกับเศรษฐา” เปรียบประเทศไทย เหมือน Ferrari 12 สูบ แต่วิ่งแค่ 6-7 สูบ ระบุอยากให้คนไทยยอมรับ Entertainment complex จากธุรกิจสีเทาใต้ดินเอามาไว้บนดินให้ถูกต้อง
นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เปิดฉากวันแรกจัดรายการ “คุยกับเศรษฐา” พูดคุยในหลายประเด็นโดยเฉพาะประเด็นที่น่าสนใจอย่างการเดินทางไปต่างประเทศในช่วงที่ผ่านมา รวมถึงนโยบายด้านการท่องเที่ยว โดย มุ่งเน้นไปที่ จ.ภูเก็ต พร้อมเปรียบประเทศไทย เหมือน Ferrari 12 สูบ แต่ยังวิ่งแค่ 6 - 7 สูบ ค่อย ๆ เดินหน้า เชื่อประเทศไทยจะดีขึ้น
เนื่องจากมีหลายเรื่องไม่ใช่ทำเองได้ ตัดสินใจภายในคนเดียวได้ มีทั้งพรรคร่วมรัฐบาล มีฝ่ายตรวจสอบ มีทั้งรัฐสภา มีทั้งข้าราชการ มีทั้งเอ็นจีโอ
ซึ่งในหลายๆ อย่างเมื่อริเริ่ม (Initiatives) ก็เป็น Initiatives ที่อาจจะมีคนแย้งบ้าง ก็ต้องทำเรื่องของประชาพิจารณ์ เป็นอะไรที่มีคนมีข้อกังขาเหมือนกัน
ยกตัวอย่างเช่น ทุกคนบ่นเรื่องค่าไฟแพง ค่าไฟที่ถูกที่สุดคือพลังงานนิวเคลียร์ พูดมาตรงนี้ทุกคนก็บอกว่าอยากได้หมด แต่ว่าอย่ามาอยู่บ้านฉันนะ ไปอยู่บ้านคนอื่นก็แล้วกัน อย่างนี้เป็นต้น
ตนเองก็เริ่มต้นทำการค้นคว้าให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำความเข้าใจกับประชาชน ว่านี่คือเรื่องที่เรากำลังดูอยู่ และก็มีหลาย ๆ เรื่อง เช่น Entertainment complex ซึ่งเป็นธุรกิจสีเทาดำ อยู่ใต้ดินเป็นล้านล้าน จะยอมให้มีธุรกิจแบบนี้อยู่ต่อไปหรือ หรือเราจะยกมาบนดิน
ก็ยอมรับไปแล้วก็เก็บภาษีให้ถูกต้อง และควบคุมด้วยความประพฤติ ควบคุมเรื่องอาชญากรรมได้ ตนเองคิดว่าถึงเวลาหรือยังที่ประเทศต้องยอมรับเรื่องพวกนี้ ประเทศอื่นเขาก็มีแล้ว
ส่วนการเดินทางไปต่างประเทศโดยระบุว่าไปมาแล้ว 15 ครั้ง และกว่าครึ่งไฟท์บังคับ เช่น การประชุมสุดยอดอาเซียน-ญี่ปุ่น สมัยพิเศษ เพื่อฉลองวาระครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์อาเซียน-ญี่ปุ่น รวมถึงประเทศ จีน กัมพูชา สิงคโปร์ มาเลเซีย ออสเตรเลีย และศรีลังกาซึ่งเป็นการไปเซ็นสัญญา FTA ที่รัฐบาลเดิมทำไว้แล้ว ล้วนไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
ต้องยอมรับว่าในรัฐบาลก่อน เรื่องของลำดับความสำคัญของเขา เขาอาจจะทำเรื่องอื่นที่เขาเห็นความสำคัญมากกว่า แต่ตอนนี้มาถึงตรงนี้ เรื่องการค้าระหว่างประเทศ เรื่องของความอ่อนบางทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ ทำให้การลงทุนข้ามชาติมาที่ประเทศไทยเป็นเรื่องที่สำคัญ ถ้าเราไม่ไปเชื้อเชิญและไปบอกเขาว่าประเทศไทยเปิดแล้ว ไม่มีเวลาไหนที่จะดีเท่าเวลานี้ที่มาลงทุนที่ประเทศไทย เขาจะทราบไหม ตนเองว่าต้องไป แล้วการลงทุนกลับมาแต่ละครั้งเป็นหมื่นล้านเป็นแสนล้าน
โดยถึงแม้ว่าการลงทุนที่กล่าวมาจะยังไม่เกิดขึ้น แต่เชื่อว่าบางอย่างจะเกิดแน่นอน โดยตนเองเดินทางไปทุกประเทส ทุกบริษัทที่เห็นว่า มีศักยภาพมาลงทุนในประเทศไทยได้ เพราะฉะนั้นตรงนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่เป็นหน้าที่ในฐานะนายกรัฐมนตรี
นอกจากนี้ยังกล่าวถึงการประชุมที่ World Economic Forum ที่เมืองดาวอส สมาพันธรัฐสวิส โดยระบุว่า 12 ปีที่ผ่านมาไม่มีผู้นำของเราไป ทำให้ได้รับความสนใจ และถือเป็นประวัติสูงสุดในประวัติศาสตร์
มั่นใจผลจากการเดินทางไปต่างประเทศเป็น "ผลบวกกับไทย"
นอกจากนี้ ยังคุยถึงการไป แอสตร้าเซนเนก้า (AstraZeneca) ซึ่งเข้าหุ้นกับปูนซีเมนต์ไทย ทำให้เห็นว่าภาพรวมและผลจากการไปต่างประเทศเป็นบวกมาก ทั้งกับผู้แทนการค้าไทย บีโอไอ และหลาย ๆ หน่วยงาน
จุดยืนการทูตของไทยว่า เราไม่เป็นคู่ขัดแย้งกับประเทศไหน ที่ตนเองเดินทางไปต่างประเทศมาจากการลงทุน จาก EU หรือจากออสเตรเลีย หรือจากจีน หรือจากสหรัฐอเมริกา ทุกประเทศอยากมาลงทุนประเทศไทย ถึงแม้จะมีคู่ขัดแย้งกันเองก็ตามที เพราะเขามั่นใจว่าประเทศไทยจะให้ความเป็นธรรมกับทุก ๆ ฝ่าย ถ้าเกิดมีปัญหาเกิดขึ้น ฐานผลิตของเขา Supply chain ของเขาไม่ถูกขัด อันนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก
ชี้ จ.ภูเก็ตมีศักยภาพแต่ปัญหายังเยอะ
นอกจากนั้น นายกฯ เศรษฐา ยังพูดถึงนโยบายด้านการท่องเที่ยวของรัฐบาล โดยเฉพาะการลงพื้นที่ จ.ภูเก็ต เนื่องจากว่าเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพทำรายได้สูงมากให้กับประเทศ แต่ว่าปัญหาก็เยอะ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเรื่องของน้ำประปา เรื่องขยะ เรื่องสนามบิน เรื่องถนน เรื่องมาเฟีย เรื่องความมั่นคง ความปลอดภัย หลาย ๆ อย่าง ต้องให้ความสนใจเป็นอย่างยิ่ง เช่น เรื่องของสนามบินเป็นเรื่องสำคัญ เพราะว่าปัจจุบันเครื่องบินต่อชั่วโมงลงได้ 25 ลำ จะให้ได้มากกว่านี้ก็ลำบาก แต่ว่ามีความต้องการลงสูงมาก ก็ต้องดูเรื่องของสนามบินภูเก็ต แต่จริง ๆ แล้ว ภาคใต้ไม่ได้มีแค่ภูเก็ต มีพังงา มีกระบี่ มีระนองด้วย ถึงแม้สนามบินใหม่จะไปตั้งที่ตอนเหนือของภูเก็ต หรือว่าส่วนหนึ่งของจังหวัดพังงาก็อยากให้ตั้งชื่อว่าสนามบินอันดามัน เพราะพยายามจะให้ครอบคลุมให้ได้ 3 - 4 จังหวัด