ค่าไฟงวดหน้า(ก.ย.-ธ.ค.67) จ่อแตะ 4.65-6.01 บาทต่อหน่วย
กกพ. เปิดรับฟังความเห็น 3 ทางเลือก ค่าไฟงวดหน้า(ก.ย.-ธ.ค.67) จ่อแตะ 4.65-6.01 บาทต่อหน่วย
นายพูลพัฒน์ ลีสมบัติไพบูลย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) เปิดเผยว่า จากแนวโน้มค่าเงินบาทอ่อนตัว สถานการณ์ก๊าซธรรมชาติตลาดโลกปรับเพิ่มขึ้น ทำให้ค่าเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้าสูงขึ้น และยังต้องมีการทยอยคืนหนี้ กฟผ. จำนวน 98,495 ล้านบาท และส่วนต่างราคาก๊าซธรรมชาติ (AF Gas) ตามมติครม. 15,083.79 ล้านบาท ส่งผลให้ค่าไฟฟ้างวดหน้า เดือนกันยายน-ธันวาคม มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นถูกสุด 4.65 - แพงสุด 6.01 บาทต่อหน่วย จากปัจจุบันที่ 4.18 บาทต่อหน่วย หรือเพิ่มขึ้น 11-44% จากงวดปัจจุบัน
โดยในการประชุม กกพ. เมื่อวันที่ 10 ก.ค. มีมติเห็นชอบผลการคำนวณประมาณค่าเอฟที สำหรับงวดเดือน ก.ย.-ธ.ค. 3 กรณี คือ
- กรณีที่ 1 จ่ายคืนภาระต้นทุนคงค้าง กฟผ. ทั้งหมด 98,495 ล้านบาท และมูลค่า AF Gas จำนวน 15,083.79 ล้านบาท / ค่าเอฟทีจะอยู่ที่ 222.71 สตางค์ต่อหน่วย / จะส่งผลให้ค่าไฟฟ้าปรับเพิ่มขึ้นเป็น 6.01 บาทต่อหน่วย
- กรณีที่ 2 ทยอยชำระคืนภาระต้นทุนคงค้าง กฟผ. ออกเป็น 3 งวด และมูลค่า AF Gas จำนวน 15,083.79 ล้านบาท / ค่าเอฟทีจะอยู่ที่ 113.78 สตางค์ต่อหน่วย / จะส่งผลให้ค่าไฟฟ้าปรับเพิ่มขึ้นเป็น 4.92 บาทต่อหน่วย
- กรณีที่ 3 ทยอยชำระคืนภาระต้นทุนคงค้าง กฟผ. ออกเป็น 6 งวด และมูลค่า AF Gas จำนวน 15,083.79 ล้านบาท / ค่าเอฟทีจะอยู่ที่ 86.55 สตางค์ต่อหน่วย / จะส่งผลให้ค่าไฟฟ้าปรับเพิ่มขึ้นเป็น 4.65 บาทต่อหน่วย
อย่างไรก็ตาม กกพ. จะเปิดรับฟังความคิดเห็นผ่านทางเว็บไซต์ กกพ. ตั้งแต่วันที่ 12-26 กรกฎาคม ก่อนที่จะมีการสรุปและประกาศค่าไฟงวดหน้าอย่างเป็นทางการต่อไป
ในการพิจารณาค่าไฟฟ้าผันแปร หรือ “ค่าเอฟที” และค่าไฟฟ้า สำหรับงวดเดือน ก.ย. - ธ.ค. 2567 กกพ. ตระหนักดีและคำนึงถึงผลกระทบทั้งในส่วนของผลกระทบของค่าไฟฟ้าต่อค่าครองชีพของพี่น้องประชาชน และความสำคัญในการรักษาไว้ซึ่งความมีเสถียรภาพและความมั่นคงของระบบไฟฟ้าของประเทศ เพราะนอกจากไฟฟ้ายังเป็นปัจจัยหลักที่สำคัญในการดำรงชีพแล้ว ไฟฟ้ายังเป็นปัจจัยหลักที่หนุนเสริมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจการค้า และการลงทุนของประเทศ ซึ่งในกระบวนการบริหารจัดการจึงมีเป้าหมายในการรักษาสมดุลทั้งการดูแลค่าครองชีพ และการดูแลคุณภาพ ความมั่นคง ความมีเสถียรภาพ เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกันได้ในช่วงที่ภาคพลังงานของประเทศยังไม่กลับเข้าสู่ภาวะปกติอย่างเต็มที่ ดร.พูลพัฒน์ กล่าว
ดร.พูลพัฒน์ กล่าวว่า ปัจจัยในการพิจารณาค่าไฟฟ้างวดสุดท้ายของปีนี้ที่เพิ่มขึ้น ยังคงมาจากเรื่องต้นทุนเชื้อเพลิงก๊าซทั้งก๊าซในอ่าวไทย และ LNG Spot นำเข้า ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้ามีราคาสูงขึ้น เพราะก๊าซทั้งสองแหล่งต่างได้รับผลกระทบต่อโครงสร้างต้นทุนจากค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงต่อเนื่องเฉลี่ยอยู่ที่ 36.63 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ จากต้นปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ช่วงกลางปีที่ผ่านมาภาวะราคา LNG Spot ในตลาดโลกมีการปรับตัวเข้าสู่ภาวะปกติอย่างต่อเนื่องทั้งปริมาณและราคาซึ่งเฉลี่ยอยู่ในระดับ 10 - 12 ดอลลาร์สหรัฐต่อล้านบีทียู และคาดการณ์ ราคามีการปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงปลายปี 2567 ขึ้นมาอยู่ที่เฉลี่ย 13 ดอลลาร์สหรัฐต่อล้านบีทียู เนื่องจากมีปริมาณความต้องการใช้เพิ่มขึ้นในช่วงฤดูหนาว
ส่วนปริมาณก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยกำลังการผลิตได้กลับมาสู่ภาวะปกติแล้วเช่นกัน โดยมีปริมาณการผลิตทุกแหล่งรวมกันเฉลี่ย 2,184 ล้านบีทียูต่อวัน แต่แหล่งก๊าซในเมียนมาร์ยังคงมีปริมาณลดลงอย่างต่อเนื่องอยู่ที่เฉลี่ย 468 ล้านบีทียูต่อวัน จากงวดก่อนหน้านี้อยู่ที่เฉลี่ยประมาณ 483 ล้านบีทียูต่อวัน ส่งผลต้องมีการนำเข้า LNG Spot เข้ามาทดแทน
ออปต้า ทำนายแชมป์ยูโร 2024 คู่ชิงชนะเลิศ สเปน ปะทะ อังกฤษ
คนไทยใน LA งัดคลิปโต้ “หมอเกศ” สำรวจมหาวิทยาลัยดัง มีโต๊ะอยู่ตัวเดียว!
พื้นที่ทับซ้อนอุทยานฯทับลาน ยังปักป้ายประกาศขายที่ดินไร้เอกสารสิทธิ์!