กางแผนดันเศรษฐกิจไทยเข้าเป้า นายกฯ อิ๊งค์ ระดมสมองเอกชน
แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี นั่งหัวโต๊ะเชิญภาคเอกชน ระดมความเห็น ดันเศรษฐกิจไทยปีนี้เข้าเป้า
นางสาวแพรทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี หารือถึงประเด็นสำคัญในการเร่งสร้างความเชื่อมั่นและแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจไทยอย่างตรงจุด โดยมี นายพิชัย ชุณหวชิร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง และนายแพทย์พรหมมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี เข้าร่วมประชุม ด้านภาคเอกชนมี
นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ซึ่งได้รับระดมความเห็นจากเครือข่ายเอกชนทั่วประเทศ มาร่วม

จากนั้นนายสนั่นได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนภายหลังว่า สถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศไทยในปัจจุบันกำลังเผชิญกับความท้าทายและปัญหาหลากหลายมิติ ซึ่งการแประชุมครั้งนี้จะเป็นกรอบในการทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชน
โดยเน้นย้ำการปลดและลดหนี้ร่วมกัน ด้วยวิธีการลดส่วนต่างของดอกเบี้ยและจัดการหนี้นอกระบบ การจัดตั้งกองทุนแก้ไขปัญหาหนี้ การจัดการเรื่อง Anti-dumping และเห็นด้วยกับหอการค้าฯ ในเรื่องการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ควบคู่ไปกับการส่งเสริม Soft Power และสิ่งสำคัญคือการเตรียมความพร้อมเพื่อเข้าสู่เศรษฐกิจสีเขียวตามเป้าหมาย Net zero ที่ไทยประกาศไว้
เครื่องบินเล็กไม่มีกล่องดำข้อมูลการบิน! เหตุขัดข้องยังเป็นปริศนา
เพจดังไขคำตอบ! น้ำท่วมภาคเหนือรอบนี้ ภาคกลางจะไม่เหมือนปี 54
เปิดโปรแกรมวอลเลย์บอลชายไทย ทำศึกซี วี ลีก 2024 สัปดาห์ 2

โดยมี 3 เรื่องเร่งด่วนที่ภาคเอกชนอยากให้รัฐบาลเร่งดำเนินการ
- การสร้างความเชื่อมั่นทั้งในและต่างประเทศ ทั้งระยะสั้น ระยะกลาง และ ระยะยาว
- การสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน SMEs
- การวางยุทธศาสตร์ประเทศเพื่อการเติบโตในอนาคตอย่างยั่งยืน
ขณะที่ แผนงานเร่งด่วนระยะสั้น ได้แก่

- กระจายงบประมาณ (De-Centralized) เร่งเบิกจ่ายงบประมาณปี 67 ให้กระจายไปทุกภูมิภาค และให้ความสำคัญกับจัดทำงบประมาณปี 68 ให้แล้วเสร็จตามกรอบระยะเวลาที่กำหนด ไม่ให้ยืดเยื้อเหมือนในปีที่ผ่านมา พร้อมทั้งกระตุ้นให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เร่งใช้จ่ายงบประมาณที่มีอยู่ในแต่ละพื้นที่ เพื่อให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างรวดเร็ว
- การกระตุ้นเศรษฐกิจไปยังประชาชน 3 กลุ่ม โดยแยกวิธีการให้เหมาะสม ได้แก่ มุ่งเป้ากระตุ้นเศรษฐกิจไปยังกลุ่มเปราะบาง เป็นสิ่งเร่งด่วนก่อน เพื่อให้กลุ่มนี้มีกำลังซื้อทันที โดยใช้ Platform ภาครัฐที่มีอยู่หรือพิจารณาแจกแบบเงินสด เพื่อให้ทันต่อความต้องการของประชาชน ประชาชนกลุ่มที่ยังพอมีกำลังซื้อ สามารถดำเนินการกระตุ้นเศรษฐกิจในลักษณะโครงการคนละครึ่งช่วยเพิ่มกำลังซื้อ โดยรัฐบาลไม่จำเป็นต้องใช้งบประมาณมาก กลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง สามารถออกมาตรการเพื่อดึงการจับจ่ายใช้สอยให้เม็ดเงินเข้าสู่ระบบเพิ่มขึ้น เช่น มาตรการ Easy e-Receipt และมาตรการทางภาษีอื่น ๆ โดยรัฐไม่ต้องใช้งบประมาณ
- มาตรการช่วยเหลือและเยียวยา ได้แก่ ลดค่าใช้จ่ายทั้งการลดค่าไฟฟ้า ลดค่าน้ำมัน ตรึงราคาสินค้าที่จำเป็น การพิจารณาลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ตามแต่ละประเภทให้ชัดเจน อาทิ ลูกหนี้ชั้นดี ที่มีวินัยในการชำระสม่ำเสมอ หรือลูกหนี้ที่เกิดจากการดำเนินธุรกิจ เช่น เช่าซื้อรถเพื่อมาประกอบธุรกิจ รัฐบาลอาจมีมาตรการลักษณะส่วนลดค่าดอกเบี้ย สถาบันการเงินต่างๆ ควรผ่อนผันค่าปรับการจ่ายหนี้ล่าช้า เพื่อบรรเทาภาระของประชาชน สำหรับการจัดการสภาพคล่องผู้ประกอบการ จำเป็นต้องปรับปรุงการชำระหนี้และจัดการหนี้ของภาครัฐและธุรกิจขนาดใหญ่กับ SMEs โดยปรับปรุงเงื่อนไขการชำระเงินค่าสินค้าให้รวดเร็ว รวมถึงการนำเอาเอกสารการสั่งซื้อ ส่งมอบสินค้าไปทำ supply chain financing จะทำให้กระแสเงินสดของ SMEs ดีขึ้น
- กระจายอำนาจ ได้แก่ มีมาตรการทางภาษีเพิ่มเติม สำหรับการลงทุนในเมืองที่มีศักยภาพ ซึ่งนอกจากเป็นเมืองน่าเที่ยวแล้วยังต้องเป็นจังหวัดนำร่องที่ต้องปลดล็อคศักยภาพ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และการกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่น รวมถึงการส่งเสริมการใช้วัตถุดิบภายในประเทศ (Local content) ให้มากขึ้น และสานต่อโครงการที่ หอการค้าฯ ร่วมกับรัฐบาลชุดก่อนยกระดับเมืองสู่เมืองหลัก โดยมีเป้าหมาย 10 จังหวัดทั่วประเทศ
- ปรับปรุงกฎระเบียบที่มีอยู่ ให้เอื้อต่อการแข่งขันของภาคธุรกิจ

ส่วนแผนงานระยะกลางและยาว เอกชน เห็นว่าควรตั้งเป้า GDP ประเทศ ไม่ต่ำ 3 – 5%โดยส่งเสริมการลงทุนทั้งในและต่างประเทศ รัฐบาลเสมือนเซลส์แมนเปิดการขาย และจำเป็นต้องปิดการขายให้ได้ ซึ่งต้องมีคณะกรรมการติดตามและประเมินผลความสำเร็จอย่างใกล้ชิด ไปจนถึงการ ตั้งรับ จัด Priority สินค้าบางประเภทของไทย ที่จำเป็นต้องมีมาตรการปกป้อง เพื่อให้มีที่ยืนและแข่งขันได้ ภายใต้ความเป็นธรรม และใช้เป็นมาตรฐานอย่างเท่าเทียมกับประเทศอื่นๆ พร้อมทั้งส่งเสริม SMEs ผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ มาตรฐานสากล ไม่แข่งขันด้านราคากับจีนเพราะ Economies of Scale รวมถึงมีการเพิ่มมาตรการด้านการลงทุน
เน้นบังคับใช้ Local Content มาตรการควบคุมระบบชำระเงิน Payment ต่างชาติ ให้เข้าสู่ระบบที่ถูกต้องและอยู่ภายใต้การกำกับของธนาคารแห่งประเทศไทย และการจัดเก็บภาษี E-Commerce ต่างชาติ
ข้อเสนอระยะเร่งด่วนนี้จะช่วยทำให้ GDP ของไทยกลับมาเติบโตเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 3 - 5% ต่อปี
: นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย