แนะเร่งผุดเอ็นเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์ ชี้ 3 แหล่งเงินทุนสำคัญพัฒนาประเทศ
อดีตนายกฯ “เศรษฐา”เร่งรัฐลงทุนเอ็นเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์ หวังดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ พร้อมชี้ 3 แหล่งเงินทุนสำคัญ แนะภาคอสังหาฯบริหารสภาพคล่องลุยตลาดปี 68
นายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี และ Co-Founder หลักสูตร The NEXT Real กล่าวปาฐกถาพิเศษในพิธีเปิดงาน Real Connext 2025 ว่า ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจอยู่ในอัตราเฉลี่ยเพียง 1.9% ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้าน เช่น อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม ต่างมีอัตราการเติบโตมากกว่าไทยถึง 2 เท่า
ด้วยภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอยมาอย่างยาวนาน แนวทางที่ประเทศไทยต้องให้ความสำคัญ จึงเป็นเรื่องการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ

โดย 20 ปีที่ผ่านมา โครงการเมกะโปรเจ็กต์มีเพียงการสร้างสนามบินสุวรรณภูมิ ยังไม่มีโครงการอื่นๆ ในลักษณะดังกล่าวเกิดขึ้นเลย ซึ่งการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานจะมีส่วนสำคัญในการเพิ่มศักยภาพและแก้ปัญหาหลากหลายด้าน เช่น
1.ดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ เนื่องจากอุตสาหกรรมใหม่ เช่น Data Center เป็นอุตสาหกรรมที่ใช้พลังงานเป็นจำนวนมาก ต้องมีโครงสร้างพื้นฐานและการบริหารจัดการที่ดี รวมถึงต้องยกระดับโครงสร้างพื้นฐานภายในสนามบิน
2.การแก้ปัญหาน้ำท่วม น้ำแล้งระยะยาว ที่ผ่านมา การใช้จ่ายงบประมาณของรัฐบาลส่วนหนึ่งในแต่ละปี มักเป็นเรื่องการชดเชยราคาพืชผลทางการเกษตรจากปัญหาน้ำท่วม น้ำแล้ง การสร้างเขื่อน การสร้างคูน้ำ ตลอดจนการถมทะเล จะเข้ามามีส่วนสำคัญในการแก้ปัญหาระยะยาว
3.การขยายการเติบโตทางเศรษฐกิจออกจากตัวเมือง การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น สนามบิน รถไฟฟ้าความเร็วสูง ระบบคมนาคม จะช่วยกระจายความเจริญออกจากกรุงเทพฯ เมืองขยายตัว เกิดการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่ใหม่ๆ ที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ
4.การเพิ่มระยะเวลาพำนักและปริมาณการใช้จ่ายของการท่องเที่ยว เชื่อมโยงการคมนาคมที่แข็งแรงออกสู่เมืองรองหรือเมืองน่าเที่ยว เพื่อเพิ่มระยะเวลาพำนักของนักท่องเที่ยวต่างชาติจากที่เน้นท่องเที่ยวเมืองหลักอยู่เพียงราว 3 วัน ให้ขยายไปสู่การท่องเที่ยวเมืองอื่นๆ เป็น 10 วันแบบฝรั่งเศส อิตาลี และเพิ่มปริมาณการใช้จ่ายต่อหัว (Spending per head) ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญกว่าการเพิ่มแต่ปริมาณนักท่องเที่ยว
ชี้ 3 แหล่งเงินพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน
อันดับแรก ต้องยกระดับเพดานหนี้สาธารณะเหมือนประเทศพัฒนาแล้ว หนี้สาธารณะต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ของไทย ถูกกำหนดเพดานไว้ไม่เกิน 70% ซึ่งปัจจุบันอยู่ในอัตรา 60-65% หากไม่แก้ไขปัญหาหนี้สาธารณะอาจจะไปแตะที่ 70% ได้ในช่วงกลางปีหน้า ขณะที่ประเทศพัฒนาแล้วหลายประเทศกำหนดเพดานไว้สูงกว่า 70% โดยเฉพาะญี่ปุ่นที่เข้าใจว่าสูงถึง 200%
2.การออกตราสารหนี้และการดึงดูดต่างชาติเข้ามาลงทุนในโครงการเมกะโปรเจ็กต์ เช่น โครงการเอ็นเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์ ซึ่งสามารถดึงดูดบริษัทในตลาดหลักทรัพย์จากต่างประเทศ
3.การฟื้นฟูการเจรจาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล (Overlapping Claims Area: OCA) เพื่อแบ่งประโยชน์จากทรัพยากรแก๊สธรรมชาติที่อยู่ใต้พื้นที่ทับซ้อนกว่า 20 ล้านล้านบาท โดยไม่แบ่งพื้นที่ทับซ้อน
แก๊สเหล่านี้เป็นพลังงานไม่สะอาด หรือ Brown Energy อีก 10 ปี จะไม่มีใครอยากให้ใช้ทรัพยากรนี้ เนื่องจากผู้ใช้แก๊สในธุรกิจจะถูกกำแพงภาษี ธุรกิจส่วนใหญ่จะหันไปใช้พลังงานสะอาดอื่นๆ แทน ขณะที่แก๊สเหล่านี้มีมูลค่าถึงกว่า 20 ล้านล้านบาท สูงกว่างบประมาณแผ่นดินประเทศไทยปีที่ผ่านมาที่มีมูลค่า 3.8 ล้านล้านบาท หากนำมาแบ่งผลประโยชน์กันเหลือมูลค่าฝ่ายละ 10 ล้านล้านบาท ประเทศไทยจะมีงบประมาณแผ่นดินเกือบ 3 ปีเลยทีเดียว แต่หากไม่รีบเจรจา ไม่รีบนำมาใช้ อนาคตก็จะไม่มีใครต้องการใช้ : นายเศรษฐา ระบุ
แนะภาคอสังหาฯ ต้องรับประคองธุรกิจต่อไป
สำหรับภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ นายเศรษฐา กล่าวว่า อยากให้ทุกบริษัทช่วยกันประคองธุรกิจต่อไปอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าอนาคตจะยังไม่สดใสและต้องทำงานหนัก อย่างน้อย 6 เดือนถึง 1 ปีข้างหน้า ต้องบริหารกระแสเงินสดให้ดีเพราะเป็นสิ่งที่สำคัญต่อธุรกิจ อย่าคาดหวังว่าจะพึ่งพาเงินทุนจากการพรีเซลล์เพื่อนำมาใช้ในการดำเนินธุรกิจ และอย่าคาดหวังว่าการยื่นขอ EIA และจะได้รับการอนุมัติในทุกโครงการ
นายเศรษฐา กล่าวเพิ่มเติมว่า แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของประชากร (Shift of Demographic) เกิดขึ้นในหลายประเทศทั่วโลก เช่น จีนปัจจุบันมี 1,250 ล้านคน จะลดลงเหลือ 750 ล้านคน ขณะที่ประเทศไทย ปัจจุบันมีประชากรเพียง 66 ล้านคน ในอนาคตอีก 50 ปีข้างหน้า มีการคาดการณ์ว่าจะเหลือจำนวนเพียง 37 ล้านคนเท่านั้น ซึ่งโครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนแปลงและลดจำนวนลง จะส่งผลให้ไม่มีลูกค้ามาซื้อบ้าน ธุรกิจต่างๆ ก็มีแนวโน้มได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนโครงสร้างประชากรนี้เช่นกัน
ดังนั้น ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันสร้างสังคมให้ดี ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเสมอภาค ทำให้คนมั่นใจในการมีลูก รวมถึงทำให้คนรุ่นใหม่มั่นใจในอนาคต สร้างสังคมที่เท่าเทียม เปลี่ยนเทรนด์ประชากร