บริษัทใหญ่ญี่ปุ่นเตรียมปรับขึ้นค่าแรง 5% สูงสุดในรอบ 30 ปี
บริษัทเอกชนชนญี่ปุ่นหลายแห่งตกลงปรับขึ้นค่าจ้างแรงงานในปีนี้อีกว่า 5.4% ตามข้อเรียกร้องของกลุ่มตัวแทนแรงงาน ซึ่งอาจเป็นสถิติสูงสุดใหม่ในรอบกว่า 30 ปี
บริษัทขนาดใหญ่หลายแห่งของญี่ปุ่นเปิดเผยว่า จะปฏิบัติตามข้อเรียกร้องของสหภาพแรงงานอย่างเต็มที่ หลังการเจรจาด้านแรงงานประจำปีได้สิ้นสุดลงเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งได้ข้อสรุปว่า การปรับขึ้นค่าจ้างเฉลี่ยในปีนี้จะอยู่ที่ระดับ 5.46%
ขณะที่บริษัทใหญ่บางแห่ง เช่น กลุ่มบริษัทฮิตาชิ (Hitachi) ก่อนหน้านี้ในปี 2024 ได้ปรับขึ้นเงินเดือน 6.2% สูงที่สุดเป็นสถิติใหม่

การปรับขึ้นค่าจ้างครั้งใหญ่ถือเป็นสิ่งจำเป็นในการรับมือกับค่าครองชีพที่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วอันเนื่องมาจากเงินเฟ้อ โดยบริษัทหลายแห่งได้รับแรงหนุนจากกำไรมหาศาล ซึ่งเป็นผลมาจากเงินเยนที่อ่อนค่า และยังคงต้องการรักษาจำนวนพนักงานไว้ ท่ามกลางปัญหาขาดแคลนแรงงาน
โดยตัวเลข 5.46% จากกลุ่มสหภาพแรงงานเร็นโก (Rengo) ซึ่งมีสมาชิกมากกว่า 7 ล้านคน เป็นการปรับขึ้นเงินเดือนพื้นฐานเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน และน่าจะเป็นการปรับขึ้นสูงสุดนับตั้งแต่ปี 1992 โดยเปรียบเทียบกับ 5.28% เมื่อปีที่แล้ว และต่อมาถูกปรับลดลงเหลือ 5.1%
อย่างไรก็ตาม ตัวเลขนี้ต่ำกว่าข้อเสนอเดิมที่สหภาพแรงงานเรนโกต้องการให้เพิ่มค่าแรงที่ 6.08%
ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์เชื่อว่า การเพิ่มขึ้นของค่าจ้างอาจไม่เพียงพอที่จะกระตุ้นให้ผู้บริโภคใช้จ่ายมากขึ้น เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อผู้บริโภคทั่วไป ซึ่งรวมถึงราคาอาหารสด พุ่งขึ้นถึง 4% นับเป็นระดับสูงสุดในรอบ 2 ปี
อีกสถิติที่น่าสนใจของญี่ปุ่นที่ถูกเปิดเผยเมื่อช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา คือจำนวนชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในประเทศญี่ปุ่น ดดยพบว่าในปี 2024 ตัวเลขในส่วนนี้อยู่ที่ประมาณ 3,768,000 คน เพิ่มขึ้น 10% จากปี 2023 นับเป็นสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ติดต่อกันเป็นปีที่ 3
โดยในปีที่แล้วพบว่า มีจำนวนนักศึกษาอาศัยอยู่ในญี่ปุ่นประมาณ 400,000 คน จำนวนผู้ฝึกงานด้านเทคนิคอยู่ที่ประมาณ 457,000 คน และแรงงานซึ่งมีทักษะเฉพาะด้าน 280,000 คน
นอกจากนี้ ผู้อยู่อาศัยถาวร ซึ่งเป็นกลุ่มใหญ่ที่สุด มีจำนวนประมาณ 918,000 คน เพิ่มขึ้น 3% จากปีก่อนหน้า
สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองของญี่ปุ่นวิเคราะห์ว่า การเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้พำนักชาวต่างชาติเป็นผลจากการผ่อนปรนมาตรการควบคุมคนเข้าเมืองหลังสิิ้นสุดการระบาดของไวรัสโควิด-19 และการอ่อนค่าของเงินเยน