เอกชน วอน รัฐบาลใหม่ เร่งแก้ปัญหาเศรษฐกิจทันทีหลังโปรดเกล้าฯ
ส.อ.ท. วอน รัฐฯ เริ่มแก้ปัญหาเศรษฐกิจทันที หลังโปรดเกล้าฯ แนะ! ช่วยเหลือ SME แก้ปัญหาชายแดน ฟื้นโครงการเมดอินไทยแลนด์ ชี้ คนละครึ่ง ดีอยู่แล้วให้ทำต่อ
นายเกรียงไกร เธียรนุกูล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยภายหลังการประชุมร่วมกับ นายอนุทิน ชาญวีรกุล นายกรัฐมนตรี และทีมงาน เสร็จสิ้นว่า ในวันนี้ภาคเอกชนและรัฐบาลได้มีการหารือ พูดคุยและรับฟังแนวคิด ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและปัญหาต่างๆที่ภาคอุตสาหกรรมกำลังเผชิญอยู่ ซึ่งภาคเอกชนอยากเรียกร้องให้ หลังจากที่มีการโปรดเกล้าแล้วรัฐบาลเริ่มทำงานได้เลยทันที เพราะทุกนาทีมีความหมาย
โดยในที่ประชุมภาคเอกชนได้สะท้อนในหลายเรื่อง ทั้งเรื่องกฎหมาย ,ภาษีสหรัฐ , Regional Value Content (RVC) และ Local content ที่ไทยจะต้องเจรจากับสหรัฐ เพราะแม้จะมีอัตราภาษีออกมาที่ชัดเจนแล้ว แต่ในส่วนของ Local content จะต้องมีการพูดคุยในรายละเอียดกับสหรัฐต่อ ว่าจะกำหนดมาตรฐานแบบใด และอุตสาหกรรมไหนทำได้และไม่ได้บ้าง รวมถึงรัฐบาลจะมีมาตรการเยียวยาอย่างไร
นอกจากนี้ ยังรวมถึง ปัญหาในเรื่องของภูมิรัฐศาสตร์ และสงครามการค้า โดยเฉพาะในปัญหาสินค้าราคาถูกที่ทะลักเข้ามาในไทย และส่งผลกระทบให้กับเอสเอ็มอีไทยในปี 2566 ถึง 24 กลุ่มอุตสาหกรรม ซึ่งหากปี 2568 รัฐาลไม่มีมาตรการที่เหมาะสม คาดว่า จะส่งผลให้มีสินค้าราคาถูกทะลักเข้ามาขยายเพิ่มเป็น 30 อุตสาหกรรม
ขณะที่ เอสเอ็มอี ที่ถือว่าเป็นกลุ่มเปราะบางที่สุดอยู่ ณขณะนี้ และสถานการณ์หนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับที่สูง ส่งผลถึงการเข้าถึงแหล่งเงินทุน จึงอยากให้ภาครัฐเข้ามาแก้ปัญหาให้ตรงจุด เช่น การ Haircut หนี้ และ การขยายวงเงิน โดยเฉพาะสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ ซึ่งปัญหาหนี้ครัวเรือนเป็นปัญหาที่ใหญ่ที่กดดันกำลังซื้อของคนในประเทศ
ส่วนปัญหาสถานการณ์ ชายแดนไทย-กัมพูชา นั้น ก็ต้องยอมรับว่า ส่งผลกระทบต่อ supply chain ในภาคอุตสาหกรรม และถึงแม้ปัจจุบันภาคเอกชนจะแก้ไขปัญหากันเองแต่เจอปัญหาต้นทุนสูงอยู่ อย่างไรก็ตามเอกชนเข้าใจในเรื่องของการรักษาอธิปไตยให้กับประเทศของรัฐ แต่อยากให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาให้ถูกต้อง แต่ยืนยันว่าไม่ได้กดดันการทำงานของภาครัฐ เพียงแค่อยากให้มีมาตรการที่เข้ามาเยียวยาให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบเท่านั้น เพื่อให้สามารถประคองธุรกิจต่อไปได้ในระหว่างที่รัฐยังเจรจายุติปัญหาชายแดนอยู่
นอกจากนี้ภาคเอกชน ยังเสนอให้รัฐบาล กระตุ้นเศรษฐกิจผ่านโครงการเมดอินไทยแลนด์ ที่เริ่มโครงการมาตั้งแต่ปี 2566 โดยอยากให้รัฐบาลผลักดันโครงการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐ เพิ่มสัดส่วนการใช้สินค้าที่ผลิตในประเทศไทย จากปัจจุบัน 5% เป็น 10-20% พร้อมกับเสนอว่าอยากให้เพิ่มสิทธิประโยชน์ทางด้านภาษีเพิ่มเป็น 2 เท่า สำหรับการซื้อสินค้าเมดอินไทยแลนด์ รวมถึงสนับสนุนให้ผู้ส่งออกใช้สินค้าของไทยเป็นวัตถุดิบในการผลิตมากขึ้น ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหา RVC และ Local Content ได้
นายเกรียงไกร กล่าวเพิ่มเติมว่า ในส่วนของเรื่องพลังงาน เอกชนอยากเรียกร้องให้รัฐบาล ลดต้นทุนให้กับผู้ประกอบการ เนื่องจากว่า หากมีการนำเข้าพลังงานจากต่างประเทศจะเพิ่มต้นทุนถึง 58% แต่มองว่า Pool Gas ก็ยังไม่เหมาะสม เพราะว่าช่วยลดต้นทุนได้แค่ 2-3% เท่านั้น ซึ่งทำให้ภาคเอกชนไม่สามารถแข่งขันได้
ขณะที่โครงการคนละครึ่ง นายเกรียงไกร กล่าวว่า อยากให้รัฐบาลทำต่อไป เพราะมองว่าเป็นมาตรการที่ดี นอกจากนี้ยังเสนอให้กรมศุลกากรมีมาตรการที่เข้มงวดดูแลในเรื่องสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานลักลอบเข้ามาในประเทศหรือสำแดงไม่ตรงปก ให้มีการตรวจตรามากขึ้น
ส่วนสถานการณ์ค่าเงินบาทที่แข็งค่าอยู่ในขณะนี้ นายเกรียงไกร ระบุว่า ตั้งแต่ต้นปีจนถึงขณะนี้ค่าเงินบาทไทยแข็งขึ้นมาถึง 7% เกือบสูงสุดในภูมิภาครองจากประเทศไต้หวันเท่านั้น ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ ที่ผู้ประกอบการไทยค่อนข้างกังวล เนื่องจากกระทบการส่งออก เมื่อเทียบกับคู่แข่งอย่างเวียดนาม ที่ตั้งแต่ต้นปีค่าเงินเวียดนามอ่อนตัวลงไป 3% ส่งผลกระทบให้ไทยเสียเปรียบในเรื่องของการส่งออกกับประเทศคู่แข่งทางการค้า เพราะไทยเป็นประเทศที่พึ่งพาการส่งออกถึง 60% ของ GDP นอกจากนี้ยังกระทบภาคการท่องเที่ยว โดยมองว่าค่าเงินบาทที่เหมาะสมควรจะอยู่ที่ 34 - 35 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
อย่างไรก็ตาม ในเรื่องของค่าเงินบาท นายกรัฐมนตรี จะส่งคณะทำงาน เข้ามาหารือกับสภาอุตสาหกรรม ในเรื่องของรายละเอียดข้อมูล เพื่อวางแนวทางในการแก้ปัญหาค่าเงินบาทล่วงหน้า ก่อนที่รัฐบาลจะเข้ามาทำงานเต็มตัว
ส่วนกรณีที่ กกร. พบว่าไทยส่งออกทองคำไปยังกัมพูชามีสัดส่วนสูงผิดปกติ โดยในปี 2567 เพิ่มขึ้นจาก ปี 2566 ถึง 10 เท่า หรือมีมูลค่าอยู่ที่ 105,000 ล้านบาท ขณะที่ในปี 2568 7 เดือนแรก ส่งออกไปแล้ว 71,000 ล้านบาท และเฉพาะในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นเดือนที่มีสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างชายแดนไทยกัมพูชา แต่กลับพบว่าเดือนเดียวมีการส่งออกทองคำไปถึง 8,000 ล้านบาท โดยยืนยันว่า การออกมาให้ข้อมูลนั้น เพื่อให้รัฐบาลมีการตรวจสอบให้ชัดเจน แต่ก็ทราบมาว่าวันนี้ธนาคารแห่งประเทศไทย มีการหารือร่วมกับสมาคมค้าทองคำ เพื่อพูดคุย ชี้แจงกันในเรื่องของรายละเอียด
อย่างไรก็ตาม แม้กรมศุลกากรและกระทรวงพาณิชย์จะออกมายืนยันว่า การส่งออกทองคำ ไม่มีความผิดปกติ นั้น แต่ทางภาคเอกชนอยากให้มีการตรวจสอบเชิงลึก ไปถึงผู้ซื้อและผู้ขายทองคำระหว่างสองประเทศ เนื่องจากเคยเกิดกรณีศึกษา อย่าง ประเทศสวิตเซอร์แลนด์และดูไบ ที่มีการซื้อขายทองคำในสกุลดอลล่าร์และนำกลับมาแลกเปลี่ยนเป็นสกุลเงินของตัวเอง ส่งผลให้ค่าเงินของทั้งสองประเทศแข็งค่า จนส่งผลต่อเศรษฐกิจในลักษณะนี้เช่นกัน จึงอยากให้รัฐบาลเร่งตรวจสอบที่มาที่ไปให้ชัดเจน ว่าทำไมประเทศไทยถึงมีการส่งออกทองคำไปยังกัมพูชาสัดส่วนสูงผิดปกติ
ทั้งนี้ หากไม่ได้รายละเอียดที่ชัดเจน ก็จะทำให้การแก้ปัญหาค่าเงินบาทของไทยที่แข็งค่าอยู่ณขณะนี้ ทำได้ไม่ตรงจุด และส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกของไทยในระยะยาวได้
BTC
ETH
DOGE
ADA
BNB
KUB