คาด เฟด ขึ้นดอกเบี้ยชะลอลง 0.25% เลี่ยงเศรษฐกิจถดถอย
ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FOMC) วันที่ 31 ม.ค. – ก.พ. นี้ คาดจะขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอีก +0.25% และจะขึ้นอีก 1 ครั้ง ในเดือน มี.ค. เป็นอัตราที่ชะลอตัว สู่ระดับ 5.0% ตลอดทั้งปี 2566 หลังเงินเฟ้อผ่านจุดสูงสุดแล้ว รวมทั้งเศรษฐกิจในสหรัฐฯเริ่มส่งสัญญาณหดตัว
เศรษฐกิจไทยปีกระต่าย ท่องเที่ยวหนุน เงินเฟ้อที่คลี่คลาย โตได้ 3.8%
KBANK ตั้งเป้าปี 66 สินเชื่อโต 5-7% คุมเพดาน NPL ไม่เกิน 3.25%
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดการณ์ว่า การประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FOMC) ในวันที่ 31 ม.ค. – ก.พ. นี้ เฟด จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มขึ้นอีก 0.25% มาที่ระดับ 4.50-4.75% ซึ่งเป็นอัตราชะลอตัวลง ภายหลังเงินเฟ้อมีทิศทางอ่อนแรงลงอย่างต่อเนื่อง แต่จุดสำคัญอยู่ที่ เฟด ว่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายไปถึงระดับใด ซึ่งเส้นทางดอกเบี้ยนโยบายในระยะข้างหน้าคงจะขึ้นอยู่กับข้อมูลเศรษฐกิจ และเงินเฟ้อที่ออกมา
โดยเงินเฟ้อของสหรัฐฯ เดือน ธ.ค. 65 ลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 ติดต่อกัน อยู่ที่ 6.5% จากปีก่อน (YoY) ต่ำสุดนับตั้งแต่ ต.ค. 64 ซึ่งส่งสัญญาณว่าเงินเฟ้อเริ่มอ่อนแรงลง
ขณะที่แม้เงินเฟ้อจะอ่อนแรงลงแต่ก็ยังคงอยู่ในระดับสูงอยู่ แต่ตัวเลขตลาดแรงงานสหรัฐฯ ยังคงสะท้อนภาพที่แข็งแกร่งอยู่ โดยยอดยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานครั้งแรก (สัปดาห์ 8-14 ม.ค. 2566) ปรับตัวลดลงที่ 190,000 ราย ซึ่งดีกว่าที่ตลาดคาดไว้มาก อย่างไรก็ตามเส้นทางดอกเบี้ยนโยบายของ เฟด จะขึ้นอยู่กับข้อมูลเงินเฟ้อและเศรษฐกิจที่ออกมาเป็นสำคัญ
ซึ่งเศรษฐกิจสหรัฐฯ เริ่มส่งสัญญาณชะลอตัวลงสะท้อนจากยอดค้าปลีกเดือน ธ.ค.65 ที่ลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกัน ขณะที่ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิต (ตัวเลขเบื้องต้นเดือน ม.ค. 2566) แม้จะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากเดือนก่อนหน้า แต่ก็ยังอยู่ในระดับต่ำกว่า 50 บ่งชี้การหดตัวของภาคการผลิตสหรัฐฯ
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ ในช่วงครึ่งปีแรก2566 มีแนวโน้มที่จะเห็นผลกระทบจากการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่องในปีก่อนหน้า และในภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯปีนี้ คาดว่าจะไม่เติบโต หรือ GDP ขยายตัวราว 0% ส่งผลให้ เฟด อาจจำเป็นต้องให้น้ำหนักต่อความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจมากขึ้นในระยะข้างหน้า
ขณะที่เงินเฟ้อสหรัฐฯ แม้จะยังอยู่ในระดับสูงกว่าเป้าหมายของเฟดที่ 2.0% อยู่มาก แต่คาดว่าเงินเฟ้อสหรัฐฯ จะค่อย ๆ ปรับลดลงอย่างต่อเนื่องในปีนี้ ท่ามกลางแนวโน้มราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ได้รับแรงกดดันจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก แม้มุมมองที่ดีขึ้นต่อเศรษฐกิจจีนอาจจะส่งผลต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์ให้ขยับขึ้นบ้าง แต่คาดว่าราคาสินค้าโภคภัณฑ์คงไม่กลับมาพุ่งสูงขึ้นดังเช่นในช่วงปี 2565 ที่เป็นจุดเริ่มต้นของสงครามรัสเซีย-ยูเครน
ดังนั้น ภายใต้สมมุติฐานดังกล่าว ศูนย์วิจัยกสิกรไทยจึง คาดว่า เฟดจะอาจปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอีกเพียงแค่ 1 ครั้งในการประชุมเดือน มี.ค. 2566 ส่งผลให้ดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ แตะระดับสูงสุดที่ราว 5.0% และเฟด อาจจะคงดอกเบี้ยในระดับนั้นตลอดทั้งปี 2566
อย่างไรก็ดี หากเงินเฟ้อสหรัฐฯ ยังคงคาอยู่ในระดับสูง และไม่ปรับลดลงเท่าที่ควร รวมถึงตลาดแรงงานที่ยังคงแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง ก็อาจเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ เฟด ยังคงจำเป็นต้องเดินหน้าปรับขึ้นดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องไปเกินกว่าระดับ 5.0%