ผู้ว่า ธปท. ยันไม่ปิดกั้นลดดอกเบี้ยนโยบาย กังวลภาวะตึงตัวในระบบการเงิน
ผู้ว่า ธปท. ยันไม่ปิดกั้นลดดอกเบี้ยนโยบาย แต่กังวลภาวะตึงตัวในระบบการเงิน หลังธนาคารเข้มปล่อยสินเชื่อมากเกินไป
นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. กล่าวถึงมติคณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง. ครั้งล่าสุด 21 สิงหาคม ที่ผ่านมาที่มีการคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.50% ต่อปี ว่าการพิจารณาของ กนง. มาจาก 3 ปัจจัย
- การเติบโตทางเศรษฐกิจ
- เงินเฟ้อ
- เสถียรภาพทางการเงิน
ซึ่งการเติบโตทางเศรษฐกิจเริ่มเข้าสู่ศักยภาพ แต่มีสัญญาณความเสี่ยงด้านต่ำ ตัวเลขการขยายตัวเศรษฐกิจ ไตรมาส 2 ปี 2567 การลงทุนของภาคเอกชนที่ต่ำกว่าคาดการณ์

ขณะที่อัตราเงินเฟ้อ เริ่มกลับเข้าสู่กรอบล่าง 1-3% และยังไม่เห็นสัญญาณเกิดภาวะเงินฝืดแต่สิ่งที่กังวล คือ เรื่องเสถียรภาพทางการเงินโดยเฉพาะกรณีที่สถาบันการเงินมีความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อมากกว่าความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจริง แต่ยังไม่ถึงขั้นเกิดภาวะตึงตัวในระบบการเงิน ซึ่งจะติดตามพัฒนาการในระยะต่อไป แต่ก็พร้อมปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินให้มีความเหมาะสมตามสภาวะที่เปลี่ยนแปลงไป หากมีความตึงตัวมากกว่าที่ควรจะเป็น
ในการประชุม กนง.ทุกครั้ง เพื่อพิจารณาดอกเบี้ยนโยบาย จะพิจารณาจากภาวะเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ และเสถียรภาพทางการเงิน ซึ่งถ้าแนวโน้มออกมาใกล้เคียงกับที่เราประเมินไว้ ก็มองว่า มีความจำเป็นที่จะต้องปรับลดดอกเบี้ย แต่ถ้าแนวโน้มปรับเปลี่ยนไปเราก็ไม่ได้ปิดกั้น ในการที่จะปรับเปลี่ยนโยบาย ซึ่งในการแถลงล่าสุด ของ กนง. จะเห็นว่าคณะกรรมการแสดงความห่วงใยเรื่องเสถียรภาพทางการเงินมากขึ้น
ย้ำทำงานร่วมกับรัฐบาลได้ไม่มีปัญหา
ผู้ว่า ธปท. ยังระบุถึงการทำงานร่วมกับรัฐบาล ที่ผ่านมา ธปท. ทำงานร่วมกับรัฐบาล และกระทรวงการคลังเป็นไปด้วยดี มีหลายคณะที่ทำงานร่วมกัน มาโดยตลอด แต่ไม่ได้เผยแพร่ออกสู่สาธารณะ แต่คนไปให้ความสนใจกับความคิดเห็นที่แตกต่างกัน เช่น นโยบายเรื่องของการปรับลดดอกเบี้ย มาจากการที่สวมหมวกคนละใบ ธปท. ต้องดูแลเรื่องเสถียรภาพ ส่วนกระทรวงการคลัง ดูแลเรื่องอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจแต่ไม่ได้หมายความว่าจะทำงานร่วมกันไม่ได้
ธปท.
นางสาวสุวรรณี เจษฎาศักดิ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน ธปท.

ปัดตอบปมทักษิณ เสนอลดเงินจ่าย FIDF
ส่วนกรณีที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้เสนอแนวทางการพิจารณาลดเงินจ่ายเข้ากองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน หรือ FIDF และเข้าสถาบันคุ้มครองเงินฝาก รวมอยู่ที่ 0.46-0.47% ลงครึ่งหนึ่ง เหลือ 0.23% ผู้ว่า ธปท. ระบุยังเร็วไปที่จะให้คำตอบ
ขณะที่ นางสาวสุวรรณี เจษฎาศักดิ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน ธปท. กล่าวว่า ปัจจุบันการที่สถาบันการเงินนำส่งเงินเข้ากองทุน FIDF 0.46% ก็เพื่อชำระดอกเบี้ยประมาณ 1.6 หมื่นล้านบาทต่อปี จากยอดเงินต้นที่มีการออกพันธบัตรรัฐบาล 5.8 แสนล้านบาท และจะลดลงเหลือ 5.5 แสนล้านบาทในเดือนกันยายนนี้ จากการนำส่งเงินเข้ากองทุนของสถาบันการเงินในรอบล่าสุด ซึ่งหากมีการลดเงินนำส่งลงไปครึ่งหนึ่ง จะทำให้ต้องจ่ายดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น 5 พันล้านบาทต่อปี และทำให้ยอดหนี้คงค้างหมดช้าลง
ส่วนกรณีที่ ธนาคารกลางสหรัฐ หรือ เฟด ส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ ลง นายเศรษฐพุฒิ ระบุว่า เฟด ส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยมาอย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว ไม่ได้นอกเหนือจากที่คาดการณ์ไว้ ส่วนจะเป็นแรงกดดันให้ไทยลดดอกเบี้ยตามหรือไม่ ผู้ว่า ธปท. ย้ำว่า นโยบายการเงินของไทย ขึ้นอยู่กับสถานการณ์เศรษฐกิจไทยเป็นหลัก แต่ก็ต้องคำนึงถึงปัจจัยที่กระทบ เช่น นโยบายการเงินของประเทศหลัก ที่กระทบต่อเงินทุนเคลื่อนย้ายและอัตราแลกเปลี่ยน