หุ้นไทยวันนี้ (5 พ.ค.64) ปิดร่วงไป 33.91 จุด โควิดทำเศรษฐกิจไทยแย่
หุ้นไทยวันนี้ (5 พ.ค.64) ปิดที่ระดับ 1,549.22 จุด ลดลง 33.91 จุด (-2.14%) มูลค่า 127,109.24 ล้านบาท โควิด-19ในประเทศรุนแรง อาจทำเศรษฐกิจโตแย่กว่าคาด
นายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิจัย บล.กรุงไทย ซีมิโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้ร่วงแรง จากความวิตกสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ในประเทศรุนแรงมากขึ้น อาจทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตแย่กว่าคาด ส่งผลให้หุ้นบิ๊กแคปต่างปรับตัวลง โดยเฉพาะกลุ่มแบงก์, ท่องเที่ยว และค้าปลีก ถูกเทขายออกมาจนดัชนีฯหลุดแนวรับสำคัญที่ 1,566 จุด และต่อมาที่ 1550 จุด โดยแนวรับถัดไปอยู่ที่ 1,530 จุด หากหลุดอาจลงลึกได้อีก
สินเชื่อ-พักหนี้ ช่วยลูกหนี้ ผู้ประกอบการกระทบโควิด-19 จากรัฐล่าสุด
เช็กสิทธิ 8 โครงการ 7 มาตรการเยียวยาโควิด ลด แลก แจก 1,200-7,000 ให้สินเชื่อปลอดดอก พักหนี้
ทั้งนี้ แรงขายออกมาก่อนภาครัฐจะประกาศมาตรการเยียวยาและกระตุ้นเศรษฐกิจออกมา ซึ่งคงต้องรอดูว่าจะช่วยฟื้นเศรษฐกิจได้มากแค่ไหน หากมองภาพใหญ่คงทำได้แค่พยุงไว้ โดยคาดว่าปีนี้เศรษฐกิจไทยคงฟื้นตัวได้ช้า ทั้งในส่วนภาคการท่องเที่ยว และการบริโภคในประเทศ เพราะทุกวันนี้คนยังชะลอการใช้จ่าย รวมถึงอาจมีการปรับลดประมาณการการเศรษฐกิจลงอีก ทำให้นักลงทุนต่างชาติเลือกลด position
ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียวันนี้ปรับตัวลงเป็นส่วนใหญ่ ส่วนตลาดในยุโรปเทรดบ่ายนี้ปรับขึ้นหลังจากลงไปมากเมื่อวานนี้ เช่นเดียวกับดาวโจนส์ฟิวเจอร์สที่ยืนในแดนบวกได้ โดยประเทศที่พัฒนาแล้วยังมีทิศทางที่ดี
อย่างไรก็ดี ยังต้องติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ในประเทศ โดยเฉพาะจำนวนผู้ติดเชื้อ และติดตามการทยอยประกาศผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนงวดไตรมาส 1/64 ต่อไป แม้มีแนวโน้มออกมาดีกว่าคาด แต่ไตรมาส 2/64 มีโอกาสแย่ลง โดยเฉพาะเดือน เม.ย.64 จากผลกระทบโควิด-19 ที่ระบาดหนัก และยังมีวันหยุดหลายวันด้วย
แนวโน้มการลงทุนในวันพรุ่งนี้ (6 พ.ค.) นายถนอมศักดิ์ กล่าวว่า ตลาดฯคงจะต้องรีบาวด์ มิฉะนั้นมีโอกาสที่จะปรับตัวลงลึกอีกได้ พร้อมให้แนวรับ 1,530 จุด ส่วนแนวต้าน 1,560 จุด
ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์ ได้แก่
KBANK มูลค่าการซื้อขาย 6,278.05 ล้านบาท ปิดที่ 126.00 บาท ลดลง 6.00 บาท
PTT มูลค่าการซื้อขาย 3,901.55 ล้านบาท ปิดที่ 39.50 บาท ลดลง 0.50 บาท
AOT มูลค่าการซื้อขาย 3,614.61 ล้านบาท ปิดที่ 60.00 บาท ลดลง 2.00 บาท
CPALL มูลค่าการซื้อขาย 2,851.26 ล้านบาท ปิดที่ 60.25 บาท ลดลง 2.25 บาท
SCB มูลค่าการซื้อขาย 2,687.56 ล้านบาท ปิดที่ 100.00 บาท ลดลง 5.00 บาท
ภาพรวมครึ่งวันเช้า
นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้ปรับตัวลง นำโดยหุ้นในกลุ่มแบงก์, อิเล็กทรอนิกส์ และค้าปลีก หลังสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัส โควิด-19 ในประเทศจำนวนผู้ติดเชื้อกลับมาสูงกว่า 2 พันรายต่อวัน ทำให้ไม่เห็นพัฒนาการเชิงบวก และกลุ่มแบงก์ยังวิตกผลกระทบหากภาครัฐฯขยายมาตรการพักหนี้ ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้เคลื่อนไหวทรงตัวทั้งแดนบวก-ลบเล็กน้อย
คนจองวัคซีน "หมอพร้อม" ทะลุล้านกับความคืบหน้าฉีดวัคซีนโควิดในไทย
ศบค.รับ "สายพันธุ์บราซิล" เข้าไทย ติดเชื้อ +2,112 ราย 1,042 อาการหนัก เปิดคลัสเตอร์ชุมชนกลางกรุง
หลังตลาดสหรัฐฯปรับตัวลงจากความวิตกเรื่องที่นางเจเน็ต เยลเลน รมว.คลังสหรัฐ ระบุว่าอาจจำเป็นต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อไม่ให้เศรษฐกิจสหรัฐร้อนแรงเกินไป ทำให้มองว่าวัฎจักรดอกเบี้ยขาลงใกล้จบแล้ว
อย่างไรก็ดี วันนี้ให้ติดตามผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.), การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) และการทยอยประกาศผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน
แนวโน้มการลงทุนในช่วงบ่ายนี้ นายณัฐพล กล่าวว่า ตลาดฯมีโอกาสฟื้นตัวได้บ้างในลักษณะลดช่วงลบ จากการเกิดเทคนิคเคิลรีบาวด์เมื่อดัชนีฯลงไปทดสอบแนวรับ 1,555-1,560 จุด แม้ว่าหุ้นขนาดใหญ่ยังกดดัน ส่วนแนวต้านให้ไว้ที่ 1,570 จุด
ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์ ได้แก่
KBANK มูลค่าการซื้อขาย 3,971.84 ล้านบาท ปิดที่ 126.50 บาท ลดลง 5.50 บาท
PTT มูลค่าการซื้อขาย 2,246.91 ล้านบาท ปิดที่ 39.75 บาท ลดลง 0.25 บาท
AOT มูลค่าการซื้อขาย 1,770.00 ล้านบาท ปิดที่ 60.50 บาท ลดลง 1.50 บาท
RCL มูลค่าการซื้อขาย 1,750.53 ล้านบาท ปิดที่ 40.50 บาท เพิ่มขึ้น 3.25 บาท
SCB มูลค่าการซื้อขาย 1,685.81 ล้านบาท ปิดที่ 100.50 บาท ลดลง 4.50 บาท
แนวโน้มก่อนเปิดตลาดซื้อขาย
นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์และนักกลยุทธ์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะรับแรงกดดันจาก รมว.สหรัฐระบุว่าอาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อลดความร้อนแรงทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ซึ่งจะส่งผลให้เงินดอลลาร์สหรัฐฯแข็งค่าขึ้น กระทบต่อภาพการลงทุน โดยเฉพาะกลุ่มหุ้นที่ซื้อขายด้วย Valuation สูง อย่างกลุ่มเทคโนโลยี แต่ประเมินว่าการปรับขึ้นดอกเบี้ยอาจไม่เกิดขึ้นเร็วมากนัก โดยอาจใช้เวลาเป็นปี จึงมองเป็นปัจจัยที่รบกวนตลาดในระยะสั้นเท่านั้น
นายกฯ นั่งควบ ผอ.ศูนย์แก้โควิดเฉพาะกิจกรุงเทพฯ-ปริมณฑล
พร้อมให้ติดตามผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่ทยอยประกาศออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยให้แนวรับ 1,560 จุด ส่วนแนวต้าน 1,600 จุด
สถานการณ์ต่างประเทศ
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเพียงเล็กน้อยเมื่อคืนนี้ (4 พ.ค.) ขณะที่ดัชนี Nasdaq ดิ่งลงกว่า 1.8% เนื่องนักลงทุนเทขายหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีซึ่งมีความอ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ย หลังจากนางเจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีคลังสหรัฐกล่าวแสดงความเห็นว่า อัตราดอกเบี้ยอาจจำเป็นต้องปรับเพิ่มขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้เศรษฐกิจสหรัฐร้อนแรงเกินไป ขณะเดียวกันนักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ รวมถึงตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนเม.ย.
สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (4 พ.ค.) โดยได้แรงหนุนจากข่าวสหรัฐและยุโรปผ่อนคลายมาตรการเข้มงวดในการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งทำให้นักลงทุนมีความหวังว่าความต้องการใช้น้ำมันจะฟื้นตัวขึ้น ขณะเดียวกันนักลงทุนจับตารายงานสต็อกน้ำมันดิบรายสัปดาห์ซึ่งสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) มีกำหนดเปิดเผยในวันนี้
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมิ.ย. เพิ่มขึ้น 1.20 ดอลลาร์ หรือ 1.9% ปิดที่ 65.69 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนก.ค. เพิ่มขึ้น 1.32 ดอลลาร์ หรือ 2% ปิดที่ 68.88 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค.2564