แนะลดสัดส่วนหุ้นไทย-ถือเงินสดเพิ่ม รับสารพัดปัจจัยเสี่ยงภายนอก
นักวิเคราะห์แนะลดสัดส่วนลงทุนหุ้น และถือเงินสดเพิ่ม รอจังหวะซื้อของถูก จากปัจจัยเสี่ยงภายนอก ทั้งสงคราม-เงินเฟ้อ-เฟดเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ย
แนะนักลงทุนลดสัดส่วนลงทุนหุ้นไทยลง และถือเงินสดเพิ่มขึ้นบางส่วนเพื่อลดความเสี่ยง โดยมองตลาดหุ้นไทยจะมีความผันผวนตามหุ้นโลก จากปัจจัยกดดันต่างประเทศ ทั้งสงครามยูเครน-รัสเซีย เงินเฟอที่พุ่งสูงขึ้นไม่หยุด การล็อกดาวน์ในจีน และการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐ
หุ้นเด่นในเดือนพ.ค. คือ BEM, CENTEL, GFPT, JMT, MEGA และ STANLY ด้านแนวรับสำคัญของดัชนีหุ้นไทยเดือนนี้อยู่ที่ 1,655 จุด และแนวรับต่อไปที่ 1,620 - 1,630 จุด และแนวต้านสำคัญอยู่ที่ 1,680 – 1,685 จุด และแนวต้านถัดไปที่ 1,695 - 1,700 จุด ตามลำดับ
"หุ้น-ทองคำ"ทะยาน รับเฟดขึ้นดอกเบี้ย 0.50% น้อยกว่าคาดการณ์
สหรัฐฯ เสี่ยงภาวะเศรษฐกิจถดถอย บททดสอบตลาดหุ้นครั้งใหญ่-จับตาประชุม Fed
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัดเปิดเผยว่า ในการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Federal Open Market Committee) เมื่อคืนนี้ที่ประชุมได้ประกาศขึ้นดอกเบี้ย 0.50% ซึ่งเป็นการปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นแรงรอบ 20 ปีนั้น บล.ทิสโก้คาดว่า ในการประชุมครั้งต่อไปธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) มีแนวโน้มจะขึ้นดอกเบี้ยมากกว่า 0.25% พร้อมกับการเริ่มต้นลดขนาดงบดุล (Quantitative Tightening : QT) ลงเดือนละ 4.75 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ
หนี้เสีย "บัตร-สินเชื่อบุคคล" ก่อน 1 เม.ย. ขอปรับโครงสร้างดอกเบี้ย 5%
นอกจากนี้ บล.ทิสโก้ยังคาดว่า ธนาคารกลางสหภาพยุโรป (ECB) จะเริ่มส่งสัญญาณยุติมาตรการผ่อนคลายการเงินเชิงปริมาณ (QE) ในการประชุมเดือนมิถุนายนนี้ และเตรียมส่งสัญญาณเตรียมตัวขึ้นดอกเบี้ยในช่วงปลายปีนี้ ขณะที่ตลาดมองว่า การขึ้นดอกเบี้ยของ ECB จะเกิดขึ้นในเดือนกันยายน ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ย Deposit Rate จะอยู่ที่ระดับ 0% จากปัจจุบันที่อยู่ที่ -0.50%
สำหรับธนาคารอังกฤษ (BOE) เริ่มดำเนินการขึ้นดอกเบี้ยมา 3 ครั้งแล้วตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา และคาดว่าจะดำเนินการเร่งขึ้นดอกเบี้ยเร็วขึ้น เพราะฉะนั้นในปีนี้จะมีเพียงธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) และธนาคารกลางจีน (PBOC) เท่านั้นที่ยังมีแนวโน้มใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ เนื่องจากยังไม่มีแรงกดดันด้านเงินเฟ้อมากนัก
แนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินแบบตึงตัว ทั้งการเร่งขึ้นดอกเบี้ยและการเริ่มดึงสภาพคล่องออกจากระบบ โดยเฉพาะจาก FED คาดจะสร้างแรงกดดันต่อตลาดหุ้นมากขึ้นในช่วง 2-3 เดือนข้างหน้า ขณะที่ต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้นจากภาวะเงินเฟ้อและต้นทุนดอกเบี้ยที่สูงขึ้น อาจกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจและอัตราทำกำไรของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องติดตามในระยะถัดไป
“ในอดีตตั้งแต่ปี พ.ศ. 2503 FED ปรับขึ้นดอกเบี้ยทั้งหมด 11 รอบ ซึ่ง 8 ใน 11 รอบ เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอย (Recession) ในเวลาต่อมา มีเพียง 3 รอบที่เศรษฐกิจยังฟื้นตัวขึ้นต่อได้ (Soft-landing) คือ ในปี พ.ศ. 2508, 2527 และ 2537 อย่างไรก็ดี บล.ทิสโก้มองโอกาสที่ FED จะทำ Soft-landing ได้สำเร็จในรอบนี้ค่อนข้างต่ำ เนื่องจากในปัจจุบันเงินเฟ้อสหรัฐฯ อยู่ในสูงกว่า 8% ซึ่งจะกดดันให้ FED ต้องขึ้นดอกเบี้ยในอัตราที่เร็ว หากใช้การส่งสัญญาณเตือน Recession จากส่วนต่างของเส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Yield Curve) อายุ 10 ปี และ 2 ปี ที่ติดลบ ที่มักบ่งชี้ล่วงหน้าก่อนเข้าสู่Recession โดยเฉลี่ย 19 เดือน และ Yield Curve ที่ติดลบไปในวันที่ 1 เมษายน ชี้ว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีความเป็นไปได้ที่จะเข้าสู่ภาวะ Recession ในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2566” นายอภิชาติกล่าว
นอกจากการเกิดปรากฎการณ์ “Inverted Yield Curve” ของส่วนต่าง Bond Yield อายุ 10 ปี และ 2 ปี ในต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมาแล้ว อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (Real Yield) หรืออัตราผลตอบแทนพันธบัตรหักด้วยอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ (Inflation Expectation) ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องจนใกล้กลับมาเป็นบวกแล้ว หาก Real Yield พลิกกลับมาอยู่ในแดนบวก คาดจะเป็นปัจจัยกระตุ้นให้เม็ดเงินไหลออกจากสินทรัพย์เสี่ยงอย่างหุ้นเป็นต้น เพราะฉะนั้นแนวโน้มการลงทุนนับจากนี้ จะไม่ใช่การแสวงหา “ผลตอบแทน” ด้วยการยอมรับความเสี่ยงที่สูงขึ้น แต่ต้องเฟ้นหาการลงทุนในเชิง “คุณภาพและคุณค่า” มากขึ้น (Quality & Value) ที่ราคาสมเหตุสมผล มีระดับการประเมินมูลค่าที่ไม่แพง
บล.ทิสโก้จึงแนะนำลดสัดส่วนการลงทุนหุ้นลงและถือเงินสดเพิ่มขึ้นบางส่วนเพื่อลดความเสี่ยง โดยมองตลาดหุ้นไทยจะมีความผันผวนมากขึ้นตามหุ้นโลก จากปัจจัยกดดันต่างประเทศที่เป็นลบรอบด้าน ทั้งสงครามยูเครน-รัสเซียที่ยืดเยื้อ เงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นไม่หยุด การล็อกดาวน์ในจีน และการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ล้วนสร้างความกังวลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ
สำหรับหุ้นที่แนะนำในเดือนนี้จะเน้นหุ้นที่คาดว่างบจะออกมาดีเป็นพื้นฐาน โดยอย่างน้อยต้องเติบโตเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) และมีประเด็นบวกหนุนระยะสั้น บล.ทิสโก้ยังคงแนะนำให้ลงทุนในธีมหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการทยอยเปิดเศรษฐกิจ (Re-opening) แนะนำ BEM, CENTEL สำหรับหุ้นที่ได้ประโยชน์จากเงินบาทอ่อน แนะนำ GFPT และ MEGA และหุ้นที่มีปัจจัยหนุนเฉพาะตัว เด่น คือ JMT โดยคาดว่าจะได้เข้าคำนวณในดัชนี MSCI และ SET50 และหุ้น STANLY ที่คาดว่าจะประกาศงบปีพร้อมจ่ายปันผลสูง
ขึ้นราคาทุกอย่าง แก๊ส ไฟฟ้า อาหาร ผลพวงน้ำมันแพงพ่นพิษ