SCGC เผยคืบหน้าโครงการ LPS เวียดนาม คาดเปิดปี66 หนุนกำลังผลิต 40%
บมจ.เอสซีจี เคมิคอลส์ หรือ เผยความคืบหน้าการลงทุนโครงการ LSP คอมเพล็กซ์ ปิโตรเคมีในเวียดนาม คาดว่าดำเนินการเชิงพาณิชย์ภายในครึ่งปีแรกของปี 2566 ดันกำลังการผลิตรวมเพิ่มเป็น 9.8 ล้านตันต่อปี
SCC เผยยื่นไฟลิ่ง SCGC เสนอขาย IPO ไม่เกิน 25.2%
"เอสซีจี" กำไรลดฮวบ 41% ไตรมาส 1 ที่ 8,844 ล้านบาท
นายธนวงษ์ อารีรัชชกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทเอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCGC เปิดเผยว่า ปัจจุบัน บริษัทฯ จัดจำหน่ายสินค้ากว่า 120 ประเทศทั่วโลก มีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย ตั้งแต่โมโนเมอร์ต้นน้ำและพอลิเมอร์ปลายน้ำ ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวเนื่องของปิโตรเคมี และผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปปัจจุบัน มีกำลังการผลิตรวม 6.9 ล้านตันต่อปี คิดเป็นส่วนแบ่งกำลังการผลิตในภูมิภาคอาเซียน (ณ เดือนธันวาคม 2564) ร้อยละ 19 หรือเกือบ 1 ใน
โดยมีสัดส่วนรายได้จากอาเซียน คิดเป็นประมาณ 21 % โดยประเทศไทยถือเป็นฐานการผลิตหลัก ส่วนในอินโดนีเซียเป็นการลงทุนผ่านการถือหุ้น 30% ใน Chandra Asri PetrochemicalTbk (CAP) และในเวียดนาม ขณะนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้างโครงการ LSP คอมเพล็กซ์ ปิโตรเคมี (Long Son Petrochemical Complex) ซึ่งบริษัทฯ ถือเป็นรายแรกที่เข้าไปลงทุน (first mover)
ทั้งนี้ ภูมิภาคอาเซียนถือเป็นตลาดที่มีศักยภาพการเติบโตที่ดี โดยคาดการณ์เวียดนามและอินโดนีเซียจะมีอัตราเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) 5–6% ต่อปี ภายในช่วง 10 ปีข้างหน้า ซึ่งมากกว่าค่าเฉลี่ยการเติบโตของ GDP ทั่วโลกเกือบเท่าตัว
“อัตราการใช้พอลิเมอร์ในภูมิภาคอาเซียนในปัจจุบัน (ณ 31 ธันวาคม 2564) อยู่ที่ 26 กิโลกรัมต่อคนต่อปี ซึ่งยังต่ำกว่าในยุโรปและสหรัฐอเมริกา 2-3 เท่า ตลาดอาเซียนจึงยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันเวียดนามยังต้องนำเข้าพอลิเมอร์ประมาณ 75% และอินโดนีเซียประมาณ 50% เนื่องจากมีกำลังการผลิตในประเทศไม่เพียงพอ ซึ่งเป็นโอกาสของ SCGC ที่จะใช้ความได้เปรียบจากการมีฐานการผลิตในกลุ่มประเทศดังกล่าว และสามารถตอบสนองความต้องการของตลาดได้รวดเร็วกว่า” นายธนวงษ์ กล่าว
นอกจากนี้ นายธนวงษ์ กล่าวถึงความคืบหน้าของการก่อสร้างโครงการ LSP ในเวียดนามว่า ขณะนี้การก่อสร้างเดินหน้าไปตามแผน คาดว่าจะสามารถดำเนินการเชิงพาณิชย์ภายในครึ่งปีแรกของปี 2566 ซึ่งจะทำให้บริษัทฯ มีกำลังการผลิตรวมเพิ่มขึ้นกว่า 40% เป็น 9.8 ล้านตันต่อปี โดยได้เตรียมความพร้อมรองรับการเดินเครื่องจักร เช่น การเตรียมสัญญาซื้อขายวัตถุดิบในระยะยาว การทำตลาดล่วงหน้าเพื่อเตรียมความพร้อมด้านการจำหน่าย เป็นต้น โดยโครงการดังกล่าวได้ใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยในรูปแบบ Flexible Cracker สามารถเลือกวัตถุดิบที่หลากหลายเข้ามาใช้ในการผลิตได้มากขึ้น และมีที่ตั้งอยู่ในทำเลยุทธศาสตร์ที่มีความได้เปรียบด้านโลจิสติกส์ ส่งผลดีต่อการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับผลการดำเนินงานในปี 2564 SCGC มีรายได้จากการขาย 238,390 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 27,068 ล้านบาท แม้ว่าปัจจุบันธุรกิจเคมีภัณฑ์จะมีความท้าทายจากปัจจัยภายนอก เช่น ราคาวัตถุดิบและพลังงานที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามปัจจัยดังกล่าวส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการทุกรายในอุตสาหกรรม โดย SCGC เชื่อมั่นว่า ความได้เปรียบในการแข่งขัน รวมไปถึงการมุ่งพัฒนากลุ่มสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม เพื่อตอบสนองเมกะเทรนด์ การดำเนินธุรกิจควบคู่กับการพัฒนาอย่างยั่งยืน และ ESG รวมทั้งการขยายผลิตภัณฑ์ในกลุ่มพอลิเมอร์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และการขยายกำลังการผลิตสินค้ากลุ่ม PVC ฯลฯ จะทำให้บริษัทฯ ก้าวข้ามความท้าทายและเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว ขณะที่การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จะทำให้บริษัทฯ มีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น เพื่อรองรับแผนงานขยายธุรกิจที่วางไว้ นอกจากนี้ บริษัทฯ อยู่ระหว่างศึกษาการลงทุนและเตรียมแผนการขยายเพิ่มเติมทั้งในเวียดนาม และอินโดนีเซีย