PTT ไตรมาส 3 กำไรลด 62.4% จากธุรกิจปิโตรฯ-ขาดทุนสต๊อกน้ำมัน
PTT กำไรร่วงหนัก 62.4% ในไตรมาส 3 เหลือ 8,884 ล้านบาท จากยอดขายและราคาธุรกิจปิโตรเคมีลดลง และขาดทุนสต๊อกน้ำมัน 3.6 หมื่นล้าน
บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT รายงานตลาดหลักทรัพย์ว่าผลดำเนินการในไตรมาส 3 ปี 2565 มีกำไรสุทธิ 8,884 ล้านบาท ลดลง 14,769 ล้านบาท หรือ 62.4% จากไตรมาส 3 ปี 2564 ที่มีจำนวน 23,653 ล้านบาท
ใน 9 เดือนแรก มีกำไรสุทธิ 73,303 ล้านบาท ลดลง 7,516 ล้านบาท หรือ 9.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่จำนวน 80,819 ล้านบาท โดยหลักจากขาดทุนจากตราสารอนุพันธ์ ภาษีเงินได้ และขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่เพิ่มขึ้น
OR กำไรไตรมาส 3 วูบ 62.9% จากยอดขายร่วงหนัก 78,002 หมื่นล้าน
ปตท. กางแผน 5 ปี อัดงบ 9.4 แสนล้านบาท รุกธุรกิจไฟฟ้าหมุนเวียน-รถยนต์ EV
PTT มีกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย ต้นทุนทางการเงิน และภาษีเงินได้ (EBITDA) จำนวน 92,277 ล้านบาท ลดลง 18,245 ล้ านบาท หรือ 16.5% จากไตรมาส 3 ปี 2564 ที่จำนวน 110,522 ล้านบาท
โดยหลักจากกลุ่มธุรกิจธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่น จากผลการดำเนินงานของธุรกิจปิโตรเคมีที่ปรับตัวลดลงจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์และวัตถุดิบของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีส่วนใหญ่ทั้งสายโอเลฟินส์และอะโรเมติกส์ปรับตัวลดลง และปริมาณขายที่ลดลงจากการปิดซ่อมบำรุงตามแผนของโรงปิโตรเคมีในไตรมาส 3 รวมทั้งธุรกิจการกลั่นมีผลการดำเนินงานลดลง จากขาดทุนสต๊อกน้ำมันเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ขาดทุนสต๊อกน้ำมันของกลุ่ม ปตท. เพิ่มขึ้นประมาณ 36,000 ล้านบาท ตามราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลดลงในช่วงไตรมาส 3 แม้ว่ากำไรขั้นต้นจากการกลั่น (Market GRM) เพิ่มขึ้นจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่ปรับตัวสูงขึ้น และธุรกิจการกลั่นมีปริมาณขายที่เพิ่มขึ้น
นอกจากนี้กลุ่มธุรกิจก๊าซธรรมชาติมีผลการดำเนินงานที่ปรับตัวลดลงจากกำไรขั้นต้นของธุรกิจจัดหาและจัดจำหน่ายก๊าซฯ และธุรกิจ NGV ซึ่งมีต้นทุนค่าเนื้อก๊าซฯที่เพิ่มขึ้นมาก ตามราคา Pool Gas ที่เพิ่มขึ้นจากปริมาณและราคา LNG นำเข้าที่สูงขึ้นในขณะที่กลุ่มธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมมีผลการดำเนินงานเพิ่มขึ้นตามราคาขายเฉลี่ย และปริมาณขายเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ คาดว่าราคาน้ำมันดิบในไตรมาส 4 จะเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 91-96 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และค่าการกลั่นอ้างอิงสิงคโปร์คาดว่าจะเฉลี่ยอยู่ที่ 3.5-4.5 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล
ราคาหุ้น PTT ปิดตลาดวันนี้ (10 พ.ย.) ลดลง 0.75 บาท หรือ 2.14% ปิดที่ 34.25 บาท มูลค่าการซื้อขาย 2,270.09 ล้านบาท
นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าปตท.มีกำไรลดลงเนื่องจากขาดทุนจากตราสารอนุพันธ์ ภาษีเงินได้ และขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่เพิ่มขึ้น โดยกำไรสุทธิจำนวน 73,303 ล้านบาท มาจากผลการดำเนินงานของ ปตท. คิดเป็น 13% ซึ่งลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากผลการดำเนินงานของธุรกิจก๊าซธรรมชาติ ที่ต้นทุนราคาก๊าซธรรมชาติปรับสูงขึ้นมาก
อีก 87% มาจากผลการดำเนินงานของบริษัทในเครือ ปตท. ประกอบด้วยธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม 49% ธุรกิจใหม่และโครงสร้างพื้นฐานและบริษัทย่อยอื่นๆ 24% ธุรกิจน้ำมันและค้าปลีก 11%
สำหรับธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่นมีสัดส่วนเพียง 3% โดยผลการดำเนินงานได้รับผลกระทบจากขาดทุนสต็อกน้ำมันที่เพิ่มขึ้นมากตามทิศทางราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มชะลอตัวลงตามความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 15 ก.ย. 2565 คณะกรรมการ ปตท. มีมติอนุมัติการจ่ายปันผลระหว่างกาลส่งผลให้กระทรวงการคลังในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่และกองทุนวายุภักษ์จะได้รับเงินปันผลรวมประมาณ 23,494ล้านบาท และเมื่อรวมกับภาษีเงินได้นิติบุคคลของ ปตท. และบริษัทในเครือ (9 เดือนแรกของปี 2565) อีกประมาณ 40,967 ล้านบาท รวมกลุ่ม ปตท. นำส่งรายได้เข้ารัฐปี 2565 แล้ว 64,461 ล้านบาท
กำไรของ ปตท. ภายหลังการจ่ายเงินปันผลให้แก่รัฐและผู้ถือหุ้น จะนำไปลงทุนเพิ่มเติมในโครงการต่างๆ ที่สำคัญ รวมถึงสนับสนุนการดำเนินงานด้านกิจการเพื่อสังคม โดยในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 และสถานการณ์ราคาพลังงานปรับตัวสูง (ปี 2564 – 2565)
ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ปตท. ร่วมแบ่งเบาภาระต้นทุนค่าครองชีพด้านพลังงานกว่า 23,800 ล้านบาท รวมทั้งดูแลสังคมจัดตั้งโครงการลมหายใจเดียวกัน กลุ่ม ปตท. ให้บริการตรวจคัดกรองเชื้อโควิดรวมงบประมาณ 1,046 ล้านบาท โครงการลมหายใจเพื่อน้อง ช่วยเหลือเยาวชนกว่า 60,000 คน ที่เสี่ยงต่อการหลุดจากระบบการศึกษาและจัดตั้งกองทุน จำนวน 171 ล้านบาท และโครงการลมหายใจเพื่อเมือง สนับสนุนเป้าหมายของกรุงเทพมหานคร ในการปลูกต้นไม้เพิ่มพื้นที่สีเขียว
นอกจากนั้น ปตท. ยังได้ประกาศเจตนารมณ์มุ่งสู่เป้าหมาย Carbon Neutrality ในปี ค.ศ. 2040 และเป้าหมาย Net Zero Emissions ในปี ค.ศ. 2050
กลุ่ม ปตท. ยังมุ่งปลูกป่าเพิ่มเติมรวม 2 ล้านไร่ ภายในปี ค.ศ. 2030 แบ่งเป็นการดำเนินการโดย ปตท. 1 ล้านไร่ และความร่วมมือบริษัทในกลุ่ม ปตท. อีก 1 ล้านไร่ สร้างคุณค่าด้านสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจชุมชน นำมาซึ่งคุณภาพชีวิตที่ดีของคนไทยอย่างต่อเนื่อง