จีนผ่อนโควิด ลุ้นเปิดประเทศดันเศรษฐกิจฟื้น เจาะหุ้นไทย 8 กลุ่มได้ประโยชน์
จีนทยอยผ่อนคลายมาตรการโควิดที่เข้มงวดทั่วประเทศ และยอดติดเชื้อที่ลดลง ทำให้เศรษฐกิจเริ่มกลับมาฟื้นตัว คาดอาจมีการเปิดประเทศในเร็ว ๆ นี้ โบรกฯแนะ 8 กลุ่มหุ้นไทย จะได้รับประโยชน์จากประเด็นดังกล่าว ทั้งภาคการท่องเที่ยวและกำลังซื้อ
จีนยกเลิกมาตรการคุมเข้มโควิด หลังเกิดการประท้วงใหญ่ทั่วประเทศ
พรมแดนระหว่างจีนและอินเดีย เข้าสู่ความสงบ หลังเกิดการปะทะเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา
จากกรณีจีนเริ่มผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด-19 (Zero-Covid) มากขึ้น โดยกรุงปักกิ่งมีการขยายบริการทางการแพทย์ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ เพื่อรองรับผู้ติดเชื้อ ส่วนฮ่องกงได้มีการยกเลิกมาตรการสั่งห้ามนักเดินทางเข้าในบริการสถานบันเทิงและร้านอาหาร ท่ามกลางผู้ติดเชื้อฯ รายวันในจีนมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง
ฝ่ายวิจัยบริษัทหลักทรัพย์ เอเซียพลัส (ASPS) ระบุว่า จากสถานการณ์ดังกล่าว ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจเริ่มกลับมาคึกคัก อาทิ การบินภายในประเทศจีนกลับมาฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว โดยพุ่งขึ้นสู่ระดับ65% ของช่วงก่อนโควิด
ขณะที่รัฐบาลจีนเตรียมออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงก่อนหน้านี้ สะท้อนจากเงินเฟ้อจีนที่ปรับตัวลดลง เช่น การลดอัตราดอกเบี้ย LPR, การผ่อนผันชำระหนี้ธนาคาร, การสนับสนุนสภาพคล่องในภาคอสังหาฯ, การสนับสนุนภาษีพิเศษในอุตสาหกรรม Semi-Conductor ฯลฯ
ทั้งนี้จากปัจจัยบวกข้างต้น ฝ่ายวิจัยคาดว่าจะเห็นการกลับมาเปิดประเทศในเร็ววันนี้ และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องในไทยน่าจะได้รับประโยชน์เช่นกัน โดยได้คัดเลือกหุ้นเด่นในแต่ละอุตสาหกรรมที่ได้รับอานิสงส์จากเศรษฐกิจจีนที่กำลังเข้าสู่ภาวะฟื้นตัว รวมถึงการเปิดประเทศ ดังนี้
กลุ่มโรงแรมและท่องเที่ยว จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาในไทยปี 65 ครบตามเป้าหมายก่อนกำหนดที่ 10 ล้านคน ขณะที่ปีหน้า การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) คาดว่าอยู่ที่ 20 ล้านคน โดยหุ้นไทยรับกระแสจีนเปิดประเทศ คือ AOT ที่เป็นประตูสู่ประเทศไทย, ERW ที่มีโครงสร้างโรงแรมในไทยประมาณ 90% ตามด้วย CENTEL มาจากโรงแรมไทยราว 34% ของรายได้ปี 2562 ส่วนที่เหลือมาจากมัลดีฟส์ 7% และธุรกิจร้านอาหาร 59% และ MINT ฐานรายได้ประมาณ 50% มาจากโรงแรม NH Hotel
กลุ่มยางพารา จะได้ผลบวกจากแนวโน้มเศรษฐกิจจีนและโลกฟื้นตัว หนุนแนวโน้มยอดจำหน่ายรถยนต์เพิ่มขึ้น รวมถึวแนวโน้มการเดินทางจะเพิ่มขึ้นด้วย ทำให้ผู้ใช้รถยนต์เปลี่ยนล้อยางเพิ่มขึ้น คาดว่าส่งผลบวกต่อแนวโน้มความต้องการใช้และราคายางพาราโลก โดยแนะนำ NER และ STA
กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ จะได้ผลบวกทางอ้อมจากแนวโน้มเศรษฐกิจจีนและโลกฟื้นตัว หนุนแนวโน้มความต้องการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น นอกจากนี้ยังทำให้แนวโน้มการจัดหาวัตถุดิบชิ้นส่วนฯ และการขนส่งจากจีนสะดวกขึ้นด้วย โดยเลือก KCE และ SMT เป็น Top picks ของกลุ่มชิ้นส่วนฯ
กลุ่มธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัย เป็นอีกธุรกิจที่ได้รับประโยชน์ทางอ้อม หลังจีนผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด-19 ในประเทศ และคาดเริ่มปลดล็อกด้วยการปล่อยคนออกนอกประเทศมากขึ้นในปี2566 ย่อมส่งผลบวกต่อตลาดที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะกลุ่มคอนโดมิเนียม เนื่องจากจีนถือเป็นลูกค้าหลักอันดับ 1 คิดเป็นสัดส่วน 50-60% ของมูลค่าโอนกรรมสิทธิ์ต่างชาติ
ทำให้สถานะ Backlog คอนโดฯ (ยอดการขาย) สิ้นไตรมาส 3/65 มีอยู่ราว 1.62 แสนล้านบาท ที่เป็นส่วนของลูกค้าต่างชาติ สามารถโอนได้คล่องตัวขึ้น รวมถึงการระบายสต๊อกคอนโดฯ พร้อมโอนอยู่ราว 1.2 แสนล้านบาท ทำได้มากขึ้น
โดยกลุ่มผู้ประกอบการที่เน้นพอร์ตคอนโดฯ และได้รับประโยชน์จากดีมานด์ลูกค้าต่างชาติได้แก่ NOBLE ซึ่ง ปี 2564 มีส่วนแบ่งตลาดลูกค้าต่างชาติสำหรับตลาดคอนโดฯ ในกรุงเทพมหานครมากสุดในไทย สัดส่วน 52% และลูกค้าต่างชาติสัดส่วน 29% ของยอดขาย และ 50% จากยอดโอนรวม ตามด้วย ANAN และ ORI โดยสิ้น ไตรมาส 3/65 มี สต๊อกคอนโดฯ พร้อมโอนราว1.95 หมื่นล้านบาท และ 1.26 หมื่นล้านบาท ตามลำดับ
กลุ่มวัสดุก่อสร้าง การส่งออกสินค้าวัสดุก่อสร้างจากไทยไปจีนโดยตรงมีน้อย เนื่องจากมีน้ำหนักมาก และไม่ได้มีมูลค่าเพิ่มสูง อีกทั้งจีนมีความได้เปรียบในแง่ความสามารถการแข่งขันด้านต้นทุน โดยบริษัทในกลุ่มวัสดุฯ อย่าง SCC มีสัดส่วนยอดขายไปจีนราว 3-5% ของยอดขายรวม ส่วนใหญ่เป็นสินค้าในกลุ่มปิโตรเคมี และบรรจุภัณฑ์
ซึ่งน่าจะได้ประโยชน์ทางอ้อมมากกว่าประโยชน์ทางตรง เนื่องจากจีนเป็นประเทศที่มีสัดส่วนการบริโภคผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีเกือบ 40% ของทั้งโลก ปริมาณการบริโภคเหล็ก 50% ของทั้งโลก และมีการนำเข้ากระดาษบรรจุภัณฑ์มากกว่าปีละ 10 ล้านตัน
ดังนั้นการเปิดประเทศของจีนจะทำให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ทั้ง เม็ดพลาสติก, เหล็ก และกระดาษบรรจุภัณฑ์ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลบวกต่ออัตรากำไรของ SCC, SCGP รวมไปถึงผู้ประกอบการในกลุ่มเหล็กอย่าง TMT ที่จะได้อานิสงส์จากทิศทางราคาสินค้าที่มีโอกาสปรับตัวขึ้น
กลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี ได้รับผลบวกจากการที่จีนผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด-19 เพราะจะส่งผลให้ความต้องการใช้สินค้าอุปโภคบริโภคปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม และปิโตรเคมีในภูมิภาคคาดน่าจะทยอยปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ราคาและ Spread ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม และปิโตรเคมีเห็นการฟื้นตัว เพราะในช่วงไตรมาสที่ 3/65 Spread ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม (GRM) และ Spread ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี ได้ปรับตัวลดลงทำระดับต่ำสุดในรอบปี ถูกกดดันจากความต้องการใช้ที่ลดลงตามความกังวลภาวะถดถอยในหลายประเทศทั่วโลก
รวมถึงอีกสาเหตุสำคัญมาจากการปิดเมืองหลายแห่งในจีน เพื่อป้องกันโควิดอีกระลอก จึงทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจลดลง ดังนั้นการกลับมาของจีนน่าจะเห็นการฟื้นตัวของ Spread ปิโตรเลียม และปิโตรเคมีทั้งสายอะโรเมติกส์ และโอเลฟินส์ ถือเป็นแนวโน้มเชิงบวกต่อกลุ่มโรงกลั่นและปิโตรเคมี แนะนำ TOP, PTTGC และ IRPC
แต่อย่างไรก็ตาม PTTGC และ IRPC จะมีแผนปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่น ยาว 1 เดือนในไตรมาส 4/65 ขณะที่ TOP มีแผนปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่น โรงกลั่น 1 หน่วย CDU2 กำลังการผลิตราว 5.0 หมื่นบาร์เรลต่อวัน เป็นเวลา 26 วัน แต่ยังสามารถคงอัตราการเดินเครื่องโรงกลั่นน่าจะอยู่ได้ในระดับ 104% ใกล้เคียงกับงวดก่อนหน้า
กลุ่มอุปโภคบริโภค คาด CBG ได้ประโยชน์จากจีนคลายการล็อคดาวน์ คาดว่ายอดขายสินค้ารวมทั้งสินค้า Carabao ของ CBG ในจีน จะเพิ่มขึ้นตามการจับจ่ายที่น่าจะสูงขึ้น ทั้งนี้ยอดขายสินค้า Carabao ในจีนช่วง 9 เดือนแรกปี 65 มีสัดส่วนเพียง 3% ของยอดขายรวม แต่เชื่อว่ายอดขายในจีนน่าจะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นไปสู่ระดับก่อนโควิดที่ 4.1% - 4.2% ของยอดขายรวมได้ หลังสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ในจีนคลี่คลาย บวกกับคาดหวังยอดขายใน CLMV มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะตลาดเวียดนาม หลังมีตัวแทนจำหน่ายรายใหม่เข้ามาเพิ่มตั้งแต่ปลายไตรมาส 3/65
กลุ่มเช่าซื้อ จะได้แรงหนุนทางอ้อมจากแนวโน้มเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว ส่งผลบวกต่อแนวโน้มรายได้ของลูกหนี้ในกลุ่มส่งออกและกลุ่มท่องเที่ยวที่จะมีรายได้สูงขึ้น หนุนสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้กลุ่มดังกล่าวเพิ่มขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการกลุ่มสินเชื่อมีแนวโน้มตั้งค่าใช้จ่ายผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นลดลง ส่งผลบวกให้แนวโน้มกำไรสุทธิของกลุ่มเช่าซื้อให้ดีขึ้น โดยฝ่ายวิจัยเลือก MTC และ ASK เป็น Top picks ของกลุ่มเช่าซื้อ