ราคาทองวันนี้ ปิดตลาดขึ้น 100 บาท ฮั่วเซ่งเฮงมองยังน่าลงทุน
ราคาทองวันนี้ ปิดตลาดไม่เปลี่ยนแปลงจากช่วงเช้า ราคาขยับขึ้น 100 บาท ฟื้นตัวตามต่างประเทศ ขณะที่ฮั่วเซ่งเฮงมองปัจจัยหนุนเพียบ ระยะยาวยังน่าลงทุน
สมาคมค้าทองคำ ประกาศราคาทองคำในประเทศวันนี้ (6 ก.พ. 66) ปิดตลาดไม่เปลี่ยนแปลงจากช่วงเช้า ราคาขยับขึ้น 100 บาทจากวันก่อน ฟื้นตัวจากร่วงหนักเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา จากการคาดการณ์ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) จะเร่งขึ้นดอกเบี้ยหลังตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐออกมาสดใส
ทองคำแท่ง รับซื้อคืน 29,700.00 บาท/บาททองคำ และขายออก 29,800.00 บาท/บาททองคำ
ทองรูปพรรณ รับซื้อคืน 29,167.84 บาท/บาททองคำ และขายออก 30,300.00 บาท/บาททองคำ
ทองคำในประเทศ อ้างอิงตลาดสปอตที่ 1,875.00 ดอลลาร์/ออนซ์ และอิงค่าเงินบาท 33.57 บาท/ดอลลาร์
ราคาทองคำวันนี้ หลุด 1,900 ดอลลาร์ ทองแท่งไทยหล่นใต้ 30,000
ค่าเงินบาทเปิดตลาด "อ่อนค่า" ผวาเฟดเร่งขึ้นดอกเบี้ย จับตาเงินไหลออก
ราคาทองคำฟิวเจอร์ฟื้นตัวหลังร่วงหนักในวันศุกร์
ราคาทองในตลาดต่างประเทศฟื้นตัว ขณะที่เงินดอลลาร์ยังแข็งค่า และกังวลธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) จะเร่งขึ้นดอกเบี้ย ทำให้ราคาทองยังเคลื่อนไหวต่ำกว่าระดับ 1,900 ดอลลาร์/ออนซ์
ทองคำตลาดสปอต เพิ่มขึ้น 0.5% เคลื่อนไหวที่ 1,875.20 ดอลลาร์/ออนซ์ หลังจากร่วงแตะระดับต่ำสุดตั้งแต่วันที่ 6 ม.ค. ส่วนราคาทองคำฟิวเจอร์ เพิ่มขึ้น 0.6% เคลื่อนไหวแถว 1,887 ดอลลาร์
เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาราคาทองร่วงมากกว่า 2% หลังจากตัวเลขการจ้างงานสหรัฐเพิ่มขึ้นอย่างมากในเดือนที่ผ่านมา ส่วนอัตราการจ้างงานอยู่ที่ 3.4% ต่ำสุดในรอบ 53 ปีครึ่ง
เทรดเดอร์กล่าวว่าจากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐยังแข็งแกร่ง ทำให้ตลาดคาดว่าเฟดจะเร่งขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้งในการประชุมเดือนมี.ค. แต่ก็คาดการณ์ดอกเบี้ยน่าจะสูงที่ระดับ 5% ซึ่งนั่นนักลงทุนมีแรงจูงใจลงทุนทองคำน้อยลง
เทรดเดอร์กล่าวว่าราคาทองคำก่อนถึงการประชุมเฟดในครั้งหน้า เคลื่อนไหวผันผวนตามตัวเลขเศรษฐกิจที่นำไปสู่การคาดการณ์เงินเฟ้อ โดยคาดว่าจะวิ่งในช่วง 1,820-1,950 ดอลลาร์/ออนซ์ แต่ราคาอาจจะวิ้งขึ้นแรงหากแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดจะปรับลงและดอลลาร์อ่อนค่า
ฮั่วเซ่งเฮง ระบุว่าทองคำยังมีปัจจัยหนุน คือ ภาวะเศรษฐกิจโลกมีความเสี่ยงเข้าสู่ภาวะถดถอย ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ ได้แก่ สงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ทวีความรุนแรงขึ้น ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ และจีนการชะลอปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯหนี้สหรัฐฯ ชนเพดานที่ระดับ 31.4 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ
ส่วนปัจจัยลบต่อราคาทองคำ คือ การเจรจาสันติภาพระหว่างรัสเซียและยูเครนที่มีความคืบหน้ามากขึ้น และดอลลาร์แข็งค่า จากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาอย่างแข็งแกร่ง
ทองคำลงแรง แต่ยังคงน่าลงทุน
ช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาราคาทองคำปรับตัวลงแรง เนื่องจากดอลลาร์สหรัฐฯ เริ่มกลับมาแข็งค่า ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่างเช่นตลาดแรงงานของสหรัฐฯ ออกมาอย่างแข็งแกร่ง ส่งผลให้ราคาทองคำในช่วงนี้เริ่มมีแนวโน้มไม่สดใส รวมถึงสัญญาณทางเทคนิคของราคาทองคำที่มีทิศทางขาลง ซึ่งในสัปดาห์นี้มีความเป็นไปได้ว่าราคาทองคำอาจปรับตัวลงได้ต่อสู่ระดับ 1,845-1,850 ดอลลาร์ แต่เป็นการปรับตัวลงในระยะสั้น ซึ่งในระยะยาวทองคำยังคงน่าสนใจ
สัปดาห์นี้ติดตามประเด็นที่สำคัญล่าสุดจากที่กองทัพสหรัฐฯ ยิงบอลลูนของจีนตกหลังลอยผ่านน่านฟ้าของประเทศมาหลายวัน ส่งผลให้เดิมทีที่นายแอนโทนี บลิงเกน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ จะมีกำหนดการเดินทางเยือนจีนในวันที่ 5-6 ก.พ. นี้นั้น ได้ตัดสินใจเลื่อนการเดินทางเยือนจีนโดยไม่มีกำหนด โดยเหตุการณ์กรณีที่บอลลูนจีนโดยสอยตกนั้น ทำให้สร้างความไม่พอใจของจีนเป็นอย่างมาก ส่งผลให้ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่เปราะบางอยู่แล้วนั้น จะยิ่งทำให้ดูแย่ลงไปกว่าเดิม
ก่อนหน้านี้สหรัฐฯ จะส่งเจ้าหน้าที่ระดับสูงไปเยือนจีน เพื่อรื้อฟื้นความสัมพันธ์ทั้งด้านเศรษฐกิจ การค้า ท่ามกลางหนี้สหรัฐฯ ได้ชนเพดานแล้วที่ระดับ 31.4 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ รวมถึงที่ผ่านมานั้นจีนได้เทขายพันธบัตรสหรัฐฯ ออกมาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2557 จากที่เคยเป็นผู้ถือครองพันธบัตรสหรัฐฯ เป็นอันดับ 1 จนตอนนี้ญี่ปุ่นแซงหน้าจีน ซึ่งในปัจจุบันจีนได้ถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ลดลงต่ำกว่า 9 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งถือว่าเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 12 ปี ตั้งแต่เดือนมิ.ย. 2553
อีกประเด็นหนึ่งคือ ประธานาธิบดีโจ ไบเดน จะมีการจะแถลงนโยบายประจำปีในเช้าวันพุธที่ 8 ก.พ. เวลา 9.00 น. ซึ่งเป็นการแถลงนโยบายประจำปีเป็นครั้งที่ 2 แต่ถือว่าเป็นการแถลงครั้งแรกต่อสภาคองเกรสชุดนี้ ที่พรรคแดโมแครตครองเสียงข้างมากในวุฒิสภา และพรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ
ธนาคารกลางประเทศต่าง ๆ ในปีนี้ อาจซื้อทองคำเป็นทุนสำรองอย่างต่อเนื่อง แต่อาจน้อยกว่าปี 2565
หลังจากที่ธนาคารกลางทั่วโลกซื้อทองคำเป็นทุนสำรองในปี 2565 มูลค่ามากสุดในรอบ 55 ปีนับตั้งแต่ปี 2510 ซึ่งซื้อรวมกันมากถึง 1,136 ตัน หรือมูลค่า 7 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่า 152% จากที่ปี 2564 มีการเข้าซื้อทองคำ 450.1 ตัน ซึ่งการเข้าซื้อทองคำในปีนี้ของธนาคารกลางเป็นการเข้าซื้อสุทธิติดต่อกันปีที่ 13 และนับว่าเป็นปีที่มียอดซื้อสุทธิสูงสุดเป็นอันดับ 2 จากที่เคยมีการบันทึกในประวัติการณ์ โดยเฉพาะความต้องการซื้อในไตรมาส 3 และไตรมาส 4 ที่มีการซื้อทองคำรวมกันกว่า 862 ตัน แต่การเข้าซื้อทองคำของธนาคารกลางในปีที่แล้วนั้น ส่วนใหญ่มาจากประเทศจีน ตุรเคีย ที่เข้าซื้อทองคำมากที่สุด
โดยธนาคารกลางจีนมีการเข้าซื้อทองคำเป็นทุนสำรองเพิ่มขึ้น 32 ตัน ในเดือนพ.ย. ถือว่าเป็นการเข้าซื้อครั้งใหญ่ที่สุด และเป็นการประกาศเพิ่มปริมาณทองคำเป็นทุนสำรองครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนก.ย. 2562 ขณะที่ยังคงซื้อต่อเนื่องในเดือนธ.ค. ทำให้จีนเข้าซื้อทองคำเป็นทุนสำรองทั้งหมดกว่า 62.21 ตันในปี 2565 ขณะที่ธนาคารกลางตุรเคีย ยังคงเข้าซื้อทองคำต่อเนื่อง ทำให้ธนาคารกลางตุรเคียเข้าซื้อทองคำสุทธิทั้งปี 148 ตัน ซึ่งสูงกว่า 126 ตันในปี 2562 และมากที่สุดของธนาคารกลางอื่น ๆ ที่มีการรายงาน
ข้อมูลดังกล่าวสะท้อนให้เห็นทัศนคติของทองคำ ซึ่งแต่ก่อนธนาคารกลางฝั่งประเทศตะวันตกต่างขายทองคำมาตลอด ขณะเดียวกันฝั่งเอเชียเข้าซื้อทองคำมากขึ้น โดยเฉพาะรัสเซีย ตุรเคีย จีน และอินเดีย ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่ามุมมองของธนาคารกลางที่ต้องการกระจายความเสี่ยงมากขึ้น จากความไม่แน่นอนของสงคราม ความขัดแย้งระหว่างประเทศ แนวโน้มภาวะถดถอยของเศรษฐกิจโลก โดยการที่ธนาคารกลางเข้าซื้อทองคำ ทำให้อุปสงค์ทองคำเพิ่มขึ้น 18% จากปี 2564 มาเป็น 4,741 ตัน และนับว่าสูงที่สุดตั้งแต่ปี 2554
สัญญาณทางเทคนิคของราคาทองคำมีทิศทางขาลง ซึ่งคาดว่าเป็นการปรับตัวลงในระยะสั้น แนะนำรอเข้าซื้อราคาทองคำกรณีที่ราคาทองเริ่มมีการพักฐาน