“แต่งงาน” หรือ “โสด” อยู่แบบไหนสบายกระเป๋ากว่ากัน
วาเลนไทน์ เป็นวันแห่งความรัก หลายคนใช้วันนี้เริ่มต้นชีวิตคู่ ซึ่งเป็นเรื่องน่ายินดีอย่างยิ่ง แต่คนโสดยุคใหม่ก็มากมาย อยู่ได้สบายแบบตัวแม่จะแคร์เพื่อ แล้วแบบไหนจะดีกว่ากัน โดยเฉพาะเรื่องเงินๆ ทองๆ
เพราะสิ่งสำคัญไม่ว่าจะโสดหรือไม่โสดก็ตามคือ “การวางแผน” ชีวิตหลังเกษียณ คนมีคู่ แม้อาจมีลูกหลานคอยดูแล แต่การพึ่งพาตัวเองได้ คือสิ่งที่ดีที่สุด หมั่นเก็บเล็กผสมน้อย ไม่ว่าคู่แต่งงานหรือโสด ก็มีสิทธิอยู่ในภายภาคหน้าแบบเท่าเทียมกันแน่นอน
เดือนแห่งความรัก เดือนแห่งการยื่นภาษี "คู่สมรส" วางแผน 3 วิธีให้ประหยัดสุด
วาเลนไทน์ 2567 เปิดพิกัดไหว้ขอพร "พระแม่ลักษมี" พร้อมวิธีมูยังไงให้ได้แฟน
ข้อดีของคน "มีคู่โดยเฉพาะคู่แต่งงาน" ได้ลดหย่อนภาษี มีคนช่วยผ่อนแรง
“มาตรการทางภาษี” รัฐบาลให้สิทธิลดหย่อนภาษีสำหรับสามีหรือภรรยาที่มีลูกคนที่สอง คนละ 60,000 บาทต่อปีภาษี
คู่สามีภรรยาสามารถนำค่าฝากครรภ์หรือค่าคลอดลูกไปหักเป็นค่าลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ตามจำนวนที่จ่ายจริงในแต่ละครั้ง แต่ไม่เกิน 60,000 บาท นอกจากนี้ยังมีนโยบายเพิ่มค่าลดหย่อนให้กับคู่สามีภรรยาที่จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย โดยจะได้รับสิทธิค่าลดหย่อนเพิ่มคนละ 60,000 บาทต่อปี
ขณะที่ค่าใช้จ่ายหลายอย่างยังนำมาผนึกแล้วหารสองได้ ทั้งค่าบ้าน, ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ทำให้ต้นทุนของการอยู่อาศัยอยู่ลดลงแบบ “หารครึ่ง”
แต่..อีกด้านหนึ่งเมื่อมีโซ่ทองคล้องใจ ค่าใช้จ่ายต่างๆ ก็จะตามมา ซึ่งเป็นเรื่องต้องวางแผนตั้งแต่ก่อนตั้งงาน
เพราะ “ลูก” คคือ ปัจจัยที่ทำให้คู่แต่งงานเสียเปรียบคนโสดสักนิดในด้านการใช้จ่าย เพราะกว่าเด็กน้อยจะเติบโตได้อย่างมี “คุณภาพ” การศึกษาถือเป็นองค์ประกอบที่สำคัญอยางยิ่ง ต้นทุนการเลี้ยงลูกจึงมักแปรผันไปตามคุณภาพการศึกษาที่พ่อและแม่ต้องการให้กับลูก
‘คนโสด’ อิสระทางการเงินและชีวิต
“อิสรภาพ” ซึ่งในที่นี้หมายถึง “อิสรภาพทางการเงิน” ที่คนโสดสามารถตัดสินใจและควบคุมการใช้จ่ายได้ด้วยตัวเอง 100% เป็นข้อได้เปรียบสำคัญที่อาจทำให้คู่แต่งงานที่ก้าวสู่ประตูวิวาห์ อาจมองย้อนกลับมาในสมัยชีวิตที่ยังเป็นโสดด้วยความอิจฉา
การใช้จ่ายของคนมีคู่หลายๆ ครั้งต้องผ่านการปรึกษาหารืออยู่ตลอด อาจทำให้เกิดค่าเสียโอกาส ต่างจากคนโสดที่ตัดสินใจทำอะไรได้ฉับไว เช่น นำเวลาว่างไปทำงานที่ 2 เสริมฐานการเงินให้แกร่ง หรือการลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ ทำให้เกิดรายได้งอกเงยขึ้นมา หรือจะนำเงินไปตอบแทนบุพการี ก็จ่ายให้เต็มที่แบบไม่ต้องคิดแล้วคิดอีกถึงภาระครอบครัว
มีสุขลำพัง ไร้ภาระร่วมแบกหนี้สิน
นอกจากนั้น คนโสดยังควบคุมหนี้ได้ด้วยตัวเอง ต่างจากคนมีคู่ในทางกฎหมายซึ่งหนี้ของสามีเป็นของภรรยา และหนี้ของภรรยาเป็นของสามีด้วยเช่นกัน คู่แต่งงานจึงไม่สามารถปฏิเสธภาระเหล่านั้นได้เลย หากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันขึ้นในอนาคต
ความคล่องตัวในการตัดสินใจเรื่องสำคัญในชีวิต ก็เป็นอีกข้อได้เปรียบของคนโสด เช่น เมื่อมีโอกาสให้ย้ายงานหรือเปลี่ยนงานไปพบความท้าทาย หรือต้องย้ายไปที่ไกลขึ้น ก็ตอบรับได้อย่างรวดเร็ว ส่วนคนมีคู่นั้น ด้วยความที่มีสมาชิกและการลงหลักปักฐานไปแล้ว จึงต้องคิดหน้าคิดหลังจนอาจชวดโอกาสดีๆ ไปไม่น้อย
อย่างไรก็ตาม ทุกอย่างล้วนมีข้อดี-ข้อเสียในตัวเอง จะโสด หรือมีคู่ ถ้าทำให้ชีวิตเรามีความสุขย่อมเกิดสิ่งดีๆ ขึ้นเสมอ ขณะเดียวกันถ้าทุกอย่างเกิดจากความพร้อม มีการวางแผนที่ดี มองถึงอนาคต เตรียมตัวรับความเสี่ยงไว้ตลอด นำอดีตมาเป็นบทเรียน จะมีคู่ หรือ โสด ก็ล้วนทำให้ชีวิตของเราดีขึ้นในแบบของเราได้