ต่างชาติขายหุ้น-พันธบัตรไทย 3.7 พันล้าน ฉุดบาทอ่อนทะลุ 35 บาท
เม็ดเงินต่างชาติยังคงไหลออกต่อเนื่อง ล่าสุดวานนี้ 22 มิ.ย.66 ต่างชาติเทขายหุ้น และพันธบัตรไทยรวมกว่า 3,700 ล้านบาท กดดันเงินบาททะลุ 35 บาท อ่อนค่าในรอบกว่า 3 เดือน ท่ามกลางปัจจัยกดดันจากดอกเบี้ยขาขึ้น
นักลงทุนคาดเฟดจะลดดอกเบี้ยในเร็วนี้ กระตุ้นเศรษฐกิจถดถอย
ราคาทองวันนี้ ปิดตลาดกลับมาบวก 50 บาท จากค่าบาทอ่อนทะลุ 35
เมื่อวันที่ 22 มิ.ย. 2566 ค่าเงินบาทไทยปรับตัวอ่อนค่าลงทะลุ 35 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ถือเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 3 เดือน ซึ่งสวนทางกับค่าเงินสกุลหลัก ที่ดัชนีเงินดอลลาร์อยู่ในแนวโน้มอ่อนค่าแตะระดับ 101.9 จุด ต่ำสุดในรอบ 1 เดือน
โดยเป็นผลมาจากกระแสเงินทุนต่างชาติ (Fund Flow) ที่วันนี้ไหลออกจากไทยราว 3,707 ล้านบาท แบ่งเป็นตลาดหุ้นไทย (SET) วันนี้ขายต่อเนื่องสุทธิ 927 ล้านบาท รวมเกือบ 1 เดือน ขายสุทธิ 9,722 ล้านบาท และตั้งแต่ต้นปี 66 ขายสุทธิรวม 107,759 ล้านบาท
กราฟแสดงความเคลื่อนไหลค่าเงินบาทตั้งแต่ต้นปี 66
ด้านตลาดตราสารหนี้ไทยวันนี้เม็ดเงินต่างชาติไหลออก 2,780 ล้านบาท แบ่งเป็นตราสารหนี้ระยะยาวขายสุทธิ 1,880 ล้านบาท และตราสารหนี้ครบกำหนดเวลาไถ่ถอน 1,200 ล้านบาท แต่ยังมีการซื้อตราสารหนี้ระยะสั้นสุทธิ 301 ล้านบาท
ขณะที่บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี ระบุในบทวิเคราะห์ช่วงเช้าว่า ตลาดหุ้นไทยคาดมีทิศทางตามตลาดหุ้นต่างประเทศ ที่ได้รับแรงกดดันจากนาย เจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ เฟด (Fed) ที่ส่งสัญญาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายไปจนกว่าเงินเฟ้อจะชะลอตัวลงสู่กรอบเป้าหมาย 2% รวมถึงแนวโน้มเม็ดเงินต่างชาติที่ไหลออกต่อเนื่อง ซึ่งเป็นตัวฉุดดัชนีตลาดหุ้น
กราฟแสดงมูลค่าการซื้อขายหุ้นไทยแบ่งตามนักลงทุนในช่วง 1 ปี
ด้านบริษัทหลักทรัพย์ เอเซียพลัส มองว่า ท่าทีของธนาคารกลางต่าง ๆ หลังการประชุมรอบล่าสุด ส่วนใหญ่ส่งสัญญาณไปในทางเดียวกันว่ามีโอกาสปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้ต่อ และล่าสุดประธาน เฟด แถลงตอกย้ำการปรับขึ้นดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นได้ต่อไป เพื่อกดเงินเฟ้อพื้นฐานลง ซึ่งสอดคล้องกับท่าทีของธนาคาแห่งประเทศไทย (ธปท.) ภายใต้ภาวะแวดล้อมดังกล่าว ทำให้ตลาดหุ้นกลับเข้ามาอย่ในโหมดความกลัวเรื่อง ดอกเบี้ยขาขึ้นอีกครั้ง
ทั้งนี้ในส่วนของตลาดหุ้นไทย ที่ฝ่ายวิจัยเคยกำหนดเป้าหมายดัชนีอยู่ที่ 1,610 จุด อาจต้องปรับลดลงมาอีกครั้ง ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณา สำหรับประเด็นที่อยู่ในความสนใจของนักลงทุนช่วงนี้ น่าจะเป็นการเมืองในประเทศ โดยเมื่อเข้าใกล้สู่ช่วงการเปิดสมัยประชุมรัฐสภา การเจรจาในเรี่องตำแหน่งสำคัญทั้ง ประธานสภาผู้แทนราษฎร์ และ นายกรัฐมนตรีก็เข้าข้นขึ้น