ตลท.มองครึ่งหลังปี 66 ตลาดหุ้นดีขึ้น ชี้ตั้งรัฐบาลใหม่เร็วเป็นประโยชน์นักลงทุน
ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) คาดตลาดหุ้นไทยครึ่งหลังปี 66 จะมีแนวโน้มดีขึ้นกว่าในครึ่งปีแรก จากปัจจัยดอกเบี้ยใกล้จบรอบขาขึ้น เชื่อบริษัทจดทะเบียนจะทำผลประกอบการได้ดี แต่ยังคงกังวลมูลค่าซื้อขายในตลาดที่แผ่วลง พร้อมชี้ทุกความคืบหน้าของการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ จะเป็นประโยชน์กับนักลงทุน
คาดการณ์ “แบงก์” ประกาศงบไตรมาส2/66 ลุ้นดึงเงินต่างชาติไหลกลับ
จบดอกเบี้ยขาขึ้นไตรมาส 3 เตรียมลงทุนไตรมาส 4 รับดอกเบี้ยขาลง
เมื่อ 10 ก.ค.66 ดร.ภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า แนวโน้มตลาดหุ้นในครึ่งหลังปี 66 มีปัจจัยกดดันจากภาวะอัตราดอกเบี้ยในระดับสูง คาดว่าจะปรับขึ้นอีกไม่มาก ซึ่งส่งผลกระทบต่อตลาดอาจจะลดน้อยลง
ทั้งนี้ตลาดฯ ยังคงมีปัจจัยจากความไม่น่อนนอนอื่น ๆ เช่น ภูมิรัฐศาสตร์ และการท่องเที่ยว ที่ยังคงไม่มีความชัดเจน แต่เชื่อว่าแนวโน้มจะไม่แย่ลงไปกว่าเดิม ขณะที่เศรษฐกิจโลกที่ยังคงปัญหามีอยู่ จึงอาจยังไม่ได้เป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลักของการลงทุนในช่วงนี้
อย่างไรก็ตาม ตลาดหลักทรัพย์ฯ มองว่า ในครึ่งหลังของปี 66 จะดีขึ้นจากครึ่งปีแรกที่เผชิญกับมรุสมหลายด้าน ซึ่งปัจจัยดังกล่าวน่าจะทำให้บริษัทจดทะเบียนสามารถทำผลประกอบการได้ดี และดึงดูดเม็ดเงินต่างชาติไหลกลับเข้ามา
ขณะที่ปัจจุบันมีการหลอกลวงการลงทุนเป็นจำนวนมาก ตลาดหลักทรัพย์ฯจึงได้ริเริ่มโครงการเพื่อรณรงค์ป้องกันร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) และตำรวจ โดยจะมีการแถลงข่าวถึงรายละเอียดในวันที่ 24 ก.ค.66 นี้
เอาผิดโกง STARK หน่วยงานทำงานได้เร็วกว่าในอดีต
ส่วนกรณีการอายัดทรัพย์สินของ บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STARK มองว่าตอนนี้หน่วยงานต่าง ๆ ทำงานกันได้อย่างรวดเร็วแบบไม่เคยเห็นแบบนี้มาก่อน ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดีที่จะทำให้ในอนาคตสามารถทำงานได้รวดเร็วมากขึ้น และมีประสิทธิภาพ โดยจากเหตุกาณร์ดังกล่าวมองว่ามีโอกาสที่จะเกิดข้อผิดพลาดได้ แม้จะมีการป้องกันอย่างดีแล้ว เนื่องจากเป็นการทุจริตฉ้อโกง จึงต้องดูว่าในอนาคตจะทำอย่างไรให้สามารถป้องกันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ตลท.ชี้ตั้งรัฐบาลได้เร็วเป็นโยชน์กับนักลงทุน
สำหรับเรื่องการจัดตั้งรัฐบาล ดร.ภากร กล่าวว่าทุกความคืบหน้าในการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ จะเป็นประโยชน์ให้กับนักลงทุนแน่นอน หากนโยบายต่าง ๆ ของรัฐบาล มีความชัดเจนมากขึ้น
นอกจากนี้มูลค่าการซื้อขายในตลาดหุ้นไทยที่ลดลงนั้น เป็นสิ่งที่ตลาดหลักทรัพย์ค่อนข้างกังวล ซึ่งเกิดจากหลายปัจจัย โดยปัจจุบันนักลงทุนรายย่อยในประเทศ และต่างชาติค่อนข้างมีสัดส่วนใกล้เคียงกัน แต่นักลงทุนรายย่อยส่วนใหญ่ยังอยู่ในสถานะเฝ้ารอติดตามสถานการณ์ (Wait & See) แม้ปัจจุบันจะมีบัญชีนักลงทุนรายย่อยถึง 2 ล้านบัญชี แต่มูลค่าการซื้อขายยังคงตามไม่ทันกับนักลงทุนต่างประเทศ จึงต้องมาดูว่าในอนาคตจะทำอย่างไรให้นักลงทุนรายย่อยหันมาลงทุนในประเทศมากขึ้น
SET มิ.ย. ลด 2.0% ต่างชาติขาย 5 เดือนติด กลุ่มเทคฯ-การเงินพุ่งแรง
นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า สิ้นเดือนมิ.ย. 2566 ดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET Index) ปิดที่ 1,503.10 จุด ปรับลดลง 2.0% จากเดือนก่อนหน้า และปรับลดลง 9.9% เมื่อเทียบกับสิ้นปี 65
โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีกว่า SET Index เมื่อเทียบกับสิ้นปี 65 ได้แก่ กลุ่มเทคโนโลยี กลุ่มการเงิน กลุ่มบริการ และกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค
สำหรับมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันใน SET และ mai อยู่ที่ 47,893 ล้านบาท ลดลง 33.2% จากช่วงเดียวกันปีก่อนหน้า โดยมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันใน 6 เดือนแรกปี 66 อยู่ที่ 58,670 ล้านบาท ซึ่งผู้ลงทุนต่างชาติขายสุทธิเป็นเดือนที่ห้า ในเดือนมิ.ย. ขายสุทธิ 8,617 ล้านบาท
ขณะที่ Forward P/E ของ SET ณ สิ้นเดือนมิ.ย. 66 อยู่ที่ 16.0 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชีย ซึ่งอยู่ที่ระดับ 12.8 เท่า