ตลาดทุนไทยแกร่งขึ้น คาดช่วงปลายไตรมาส 4 เงินทุนไหลเข้า
“ทรีนีตี้” มองเศรษฐกิจ-ตลาดทุนไทยแกร่งขึ้นหลังครบ 27 ปี วิกฤตต้มยำกุ้ง และลอยตัวเงินบาท คาดช่วงปลายไตรมาส 4 เงินทุนไหลเข้า
ดร.วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทรีนีตี้ วัฒนา จำกัด (มหาชน) มองภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดทุนไทยหลังครบ 27 ปี วิกฤตต้มยำกุ้งเมื่อปี 2540 และครบรอบลอยตัวค่าเงินบาท ตั้งวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 ว่า เศรษฐกิจและตลาดทุนไทยมีความแข็งแกร่งขึ้นมาก ดูจากมูลค่าตลาดทุน (Market Capitalization) ต่อ GDP ปรับเพิ่มขึ้นจาก 24% มาสู่ 97% ของ GDP รวมประเทศ ตลาดตราสารหนี้มีการพัฒนาอย่างมากจากมูลค่าต่ำกว่าล้านล้านบาทในปี 1997 มาสู่ระดับ 17 ล้านล้านบาท หรือ 95% ของ GDP ในปัจจุบัน

ส่วนค่าเงินบาท หลังลอยตัวขึ้นจาก 25 บาทไปจนถึง 54 บาท ปัจจุบันปรับตัวดีขึ้น ซึ่งเคยปรับแข็งค่าที่สุดประมาณ 27 บาทหลังวิกฤตซับไพรม์ เพราะมีเม็ดเงินที่ไหลมาจากสหรัฐฯ ปัจจุบันค่าเงินบาทอ่อนตัวลงส่วนหนึ่งเป็นเพราะสหรัฐฯ มีนโยบายขึ้นอัตราดอกเบี้ยสูงเป็นระยะเวลานาน และจากการคาดการณ์เป็นไปได้ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) จะลดดอกเบี้ยลงอย่างน้อย 1 ครั้งหรืออาจไม่ลดเลย ในขณะที่ฝั่งยุโรปมีการลดดอกเบี้ยทำให้เกิดช่องว่างของดอกเบี้ยที่มีมากขึ้น ทำให้ค่าเงินประเทศต่าง ๆ ในอาเซียนเริ่มอ่อนตัวลง
จากข้อมูล Real effective Exchange Rate ที่ยังอยู่ในภาวะสมดุล มองว่าค่าเงินบาทจะมีเสถียรภาพประมาณที่ 37 บาท ไม่น่าอ่อนค่าไปมากกว่านี้.....ดร.วิศิษฐ์กล่าว
การระดมทุนมีความสมดุลมากขึ้นทั้งตราสารหนี้ ตราสารทุน และสินเชื่อธนาคาร ขณะที่ทุนสำรองต่อ GDP มีความแข็งแกร่งขึ้นมาอยู่ที่ 44% ของ GDP เมื่อเทียบกับระดับ 18% ของ GDP ในช่วงปี 1997 ดุลเดินสะพัดมีความแข็งแกร่ง (บางปีถึง 10% ของ GDP) แต่ในส่วนของดุลบัญชีทุนเริ่มอ่อนแอลงนับตั้งแต่ปี 2556
ด้านหนี้สินภาคธุรกิจมีความแข็งแกร่งขึ้นจาก 175% ของ GDP ลงมาสู่ 95% ของ GDP ในปี 2552 ก่อนเพิ่มขึ้นมาสู่ระดับ 197% GDP ในปีกลางปี 2567 เนื่องจากสถานการณ์ โควิด-19 ทำให้ภาคธุรกิจต้องก่อหนี้เพิ่ม ส่วนกำไรสุทธิต่อหุ้นดีขึ้นจากที่ขาดทุนสุทธิช่วงปี 2540 มาสู่ระดับ 80-90 บาทต่อหุ้นในปัจจุบัน
แม้ภาพรวมเศรษฐกิจจะแข็งแกร่งขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงวิกฤต แต่ก็ยังมีบางภาคส่วนที่อ่อนแอลงมากในเชิงโครงสร้าง โดยเฉพาะในเรื่องของหนี้สินครัวเรือนที่เพิ่มขึ้นจาก 40% ของ GDP มาสู่ระดับ 91% ของ GDP ในปัจจุบัน และนำไปสู่ความอ่อนแอของการออมภาคครัวเรือน.....ดร.วิศิษฐ์กล่าว

สำหรับมูลค่าการซื้อขายตลาดทุนไทยเมื่อเทียบกับ Market Cap ของตลาดหุ้นอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 20 ปี นักลงทุนที่เป็นรายบุคคลไทยลดลงจาก 47% มาสู่ระดับ 31% และมองว่าตลาดทุนไทยช่วงครึ่งปีแรกของปี 2567 ได้ผ่านช่วงเวลาที่เลวร้ายสุดในด้านเงินทุนเคลื่อนย้ายไหลออกไปแล้ว หลังเงินทุนเคลื่อนย้ายไหลออกในไตรมาส 1 และ 2 ไปแล้วกว่า 1.1 แสนล้านบาท
ขณะเดียวกันที่ผ่านมาช่องว่างระหว่างผลตอบแทนของพันธบัตรสหรัฐฯ และไทยมีค่อนข้างสูง ทำให้เงินทุนไหลออกโดยมีเงินส่วนหนึ่งที่ไปลงทุนในพันธบัตรสหรัฐ และที่ผ่านมามีเงินทุนจากคนไทยผ่าน บัญชีเงินฝากสกุลเงินตราต่างประเทศ หรือ Foreign Currency Deposit (FCD) ไหลออกไปลงทุนในสหรัฐฯ กว่า 820,000 ล้านบาท เกิดเงินทุนไหลจากตลาดที่ได้ผลตอบแทนน้อยไปยังตลาดที่ได้ผลตอบแทนสูง

ในส่วนของเงินลงทุนจากต่างชาติ Fund Flow ทั้งการซื้อและขายของนักลงทุนต่างชาติจะเบาบางในไตรมาส 3 ทั้งภูมิภาค เนื่องจากเม็ดเงินส่วนใหญ่ยังคงรอสัญญาณการลดดอกเบี้ยของ Fed และการเลือกตั้งสหรัฐฯ คาดว่า Fund Flow จะเริ่มคงไหลเข้ามาในปลายไตรมาส 4 ความชัดเจนของการลดดอกเบี้ยของ Fed และเป็นช่วง High season ของการท่องเที่ยวไทย
แนวโน้มการลงทุนในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 ในช่วงสั้น 1-3 เดือนข้างหน้า ค่าเงินเหรียญสหรัฐฯ จะยังคงแข็งค่าเนื่องจากการเพิ่มขึ้นของส่วนต่าง ของอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ และธนาคารกลางอื่นทั่วโลกยังอยู่สูง นอกจากนี้คาดว่า Fed อาจลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% หรือคงดอกเบี้ย และคาดการณ์คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะคงอัตราดอกเบี้ยทั้งปี ขณะที่ความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนทางการเมือง ถ้าทำให้การเบิกจ่ายงบประมาณปี 2567 ล่าช้า ก็จะนำไปสู่การลดลงของกำไรสุทธิต่อหุ้นของตลาดหุ้นไทย และตลาดหุ้นโลกมักปรับตัวลดลงกว่า 10% โดยเฉลี่ยก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ 4 เดือน (สถิติจากการเลือกตั้ง 25 ปีย้อนหลัง).....ดร.วิศิษฐ์กล่าว
นอกจากนี้ตลาดหุ้นในไตรมาส 3 จะถูกขับเคลื่อนโดยนักลงทุนสถาบัน มองการเคลื่อนไหวของ SET ในช่วงที่เหลือของปีที่ 1240-1430 ตลาดหุ้นไทยเป็นลักษณะ K shape และเป็น sector selection โดยแนะนำให้ลงทุนใน sector ที่เน้นการขยายตัวของกำไร คือ กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มอาหาร กลุ่มโทรคมนาคม กลุ่มโรงไฟฟ้า และกลุ่มโรงพยาบาล
เชื่อว่านักลงทุนต่างชาติอาจเริ่มสนใจหุ้นไทยเมื่อ Earning yield gap ของตลาดหุ้นไทย เมื่อเทียบกับ Bond Yield 10 ปี ของสหรัฐที่ค่าเฉลี่ยที่ 3.24% หรือระดับดัชนี SET ที่ 1250 และมองตลาดหุ้นไทยจะมี Fund Flow ไหลเข้าในปลายไตรมาส 4 โดยเฉพาะอย่างยิ่งหุ้นกลุ่มธนาคารที่มีปันผลสูง.....ดร.วิศิษฐ์กล่าว
วิเคราะห์บอล ! ยูโร 2024 ออสเตรีย พบ ตุรกี 2 ก.ค.67
นักวิทยาศาสตร์พบ “มอสส์ทะเลทราย” สามารถมีชีวิตรอดบนดาวอังคารได้
ไทยจ่อเข้าสู่สภาวะ “ลานีญา” ฝนเพิ่มเล็กน้อย แต่อุณหภูมิยังคงสูง