ลงทุนครึ่งปีหลังผันผวนต่อ แนะปรับพอร์ตบาลานซ์ความเสี่ยง
กรุงศรี คาดสถานการณ์ลงทุนครึ่งหลังปี 67 ผันผวนต่อเนื่อง แนะปรับพอร์ตบาลานซ์ความเสี่ยง ชี้หุ้นไทยมีลุ้นฟื้นตัว
ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ร่วมกับ BlackRock บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนชั้นนำของโลก อัปเดตมุมมองเศรษฐกิจและเทรนด์การลงทุนในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 พบว่าสถานการณ์ลงทุนทั่วโลกยังผันผวน จากความเสี่ยงของเงินเฟ้อ และความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างประเทศ คาดว่า FED ยังลดอัตราดอกเบี้ย 1-2 ครั้งในปีนี้
การลงทุนธีม AI ยังน่าสนใจ ขณะที่ตลาดหุ้นไทยปรับตัวดีขึ้น จากการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐ และการฟื้นตัวภาคการท่องเที่ยว แนะหุ้นเด่น กลุ่มส่งออก-ค้าปลีก-เฮลธ์แคร์-ธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับ Data Center
นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กรและโครงการกลยุทธ์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เล่าถึงภาพรวมสถานการณ์เศรษฐกิจและทิศทางตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งปีหลัง โดยสรุปว่าท่ามกลางความท้าทายของเศรษฐกิจโลก ไทยมีเสถียรภาพทางเศรษฐกิจสูงรองรับเหตุการณ์ต่าง ๆ ในช่วงที่ผ่านมาได้ดี คาดว่าเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลังนี้มีแนวโน้มที่จะขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป จากการฟื้นตัวต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยว การส่งออก และการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐ ซึ่งเป็นภาพสะท้อนกลับมาที่ตลาดหุ้นไทย โดยมองว่าสถานการณ์การลงทุนตลาดหุ้นไทยยังคงเป็นโอกาสที่น่าสนใจ เนื่องจากราคาหุ้นยังไม่สะท้อนต่อกำไรในอนาคต
แนะนำ 7 ธีมการลงทุนดาวเด่นที่เป็นจุดแข็งของตลาดหุ้นไทย
- ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับภาคการท่องเที่ยว โดย SET Well-Being Index ปัจจุบันมีทั้งหมด 30 บริษัท จาก 7 อุตสาหกรรม ได้แก่ การท่องเที่ยวและสันทนาการ การเกษตร ขนส่งและโลจิสติกส์ แฟชั่น การแพทย์ อาหารและเครื่องดื่ม และพาณิชย์
- ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการใช้จ่ายของภาครัฐ อาทิ กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง สินค้าอุปโภคบริโภค การพาณิชย์ และอาหารเครื่องดื่ม
- ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนย้ายฐานการผลิต ซึ่งภาครัฐมีนโยบายต่างๆ ออกมา ทั้ง Free VISA รวมถึงนโยบายส่งเสริมการลงทุน ซึ่งภาคธุรกิจที่จะได้รับปัจจัยบวก ได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องจักรและยานยนต์ อุตสาหกรรมโลหะและวัสดุ อุตสาหกรรมดิจิทัล การเกษตร และอาหาร
- ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับภาคการส่งออก ทั้งนี้จะเห็นว่าผลตอบแทนของ SET Global Big Cap และ SET Global Mid & Small Cap ค่อนข้าง Outperform ราว 50-60% ส่วน SET Global Large Cap ผลตอบแทน Outperform ตลาดราว 10%
- ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืน แม้ช่วงนี้ตลาดหุ้นไทยยังไม่ฟื้นตัวมากในลักษณะ K-Shape แต่หุ้นไทยที่อยู่ในดัชนี Dow Jones Sustainability Indices (DJSI) ถือว่าปรับตัวดี
- ธุรกิจที่มีการจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ ในตลาด SETHD มีมากกว่า 30 บริษัทขนาดใหญ่ที่มีสภาพคล่องสูง จ่ายปันผลต่อเนื่องอย่างน้อย 3 ปีติดต่อกัน หากนักลงทุนเลือกพอร์ตหุ้นที่เหมาะสมพอร์ตการลงทุนก็จะ Outperform ได้
- ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ New Economy ซึ่งมีบริษัทจดทะเบียนถึง 165 บริษัท ที่อยู่ใน Sector ใหม่ ๆ อาทิ ดิจิทัลและอีคอมเมิร์ซ ธุรกิจด้านสุขภาพ เชื้อเพลิงชีวภาพ อุตสาหกรรมอาหารและการแปรรูปผลิตผลทางการเกษตรเพื่อการบริโภคที่ใช้นวัตกรรม และยานยนต์สมัยใหม่
ส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืน ในปีนี้จำนวนหุ้นที่อยู่ในกลุ่ม Thai ESG จะเพิ่มมากขึ้นจากปีที่ผ่านมา ทำให้นักลงทุนมีโอกาสและตัวเลือกเพิ่มขึ้น และหากเปรียบเทียบบริษัทจดทะเบียนในเวทีโลกแล้วจะพบว่า มีบริษัทจดทะเบียนในประเทศไทยจำนวนมากเติบโตและเป็นที่ยอมรับในเวทีโลก ติดอันดับดัชนีความยั่งยืนระดับโลก.....นายศรพลกล่าว
จับตาเอฟเฟกต์ Macro Risk พร้อมปรับพอร์ตบาลานซ์ความเสี่ยง
ด้าน Mr.Jonathan Reoch, Managing Director of BlackRock ได้สะท้อนมุมมองภาพรวมเศรษฐกิจโลกและโอกาสการลงทุนครึ่งหลังของปีนี้ไว้ 3 ด้าน
- ความเสี่ยงจากภาพรวมเศรษฐกิจโลกจะมีมากขึ้น แม้หลายคนมองว่า FED จะมีการลดดอกเบี้ย 1-2 ครั้งภายในปีนี้ แต่ยังอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับอดีต ประกอบกับเงินเฟ้อที่ลงช้า และปัญหาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่รุนแรงขึ้น ส่งผลให้บริบทของการลงทุนเปลี่ยนไป
- สภาวะที่ผันผวนอย่างต่อเนื่อง ต้องหันมาสร้างสมดุลในพอร์ตให้มากขึ้น เน้นกระจายการลงทุนแบบ Dynamic มีความยืดหยุ่นเพื่อรับมือความผันผวน และมีลงทุนแบบ Selective ที่เน้นผลตอบแทนที่สูงกว่าตลาดโดยรวม
- ให้ความสนใจกับ Mega Trend ต่าง ๆ อาทิ AI เทคโนโลยี การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร พร้อมปรับกลยุทธ์การลงทุนให้เหมาะกับเทรนด์ดังกล่าว
กองทุนที่น่าสนใจท่ามกลางความผันผวนทั่วโลก คือ Global Unconstrained Equity หรือ KFGLOBAL ใช้กลยุทธ์การลงทุนแบบ Unconstrained Approach เน้นลงทุนในบริษัทจากหลากหลายอุตสาหกรรมที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง เติบโตได้อย่างมั่นคงในระยะยาว คัดเลือกหุ้นรายตัวโดยพิจารณาจากปัจจัยพื้นฐาน ไม่ยึดติดกับประเภทหุ้น อุตสาหกรรม หรือดัชนีชี้วัด เพื่อโอกาสที่ดีที่สุดทั้งช่วงเศรษฐกิจขาขึ้นและขาลง โดยมีผลการดำเนินงานย้อนหลังตั้งแต่จัดตั้งกองทุน (ต่อปี) อยู่ที่ 14%..... Mr.Jonathan กล่าว
กรุงศรีแนะ 5 ธีมการลงทุน ท่ามกลางความผันผวน
ธีมที่ 1 หากอัตราดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ ยังคงทรงตัวในระดับสูง (Higher for Longer) ทำให้เม็ดเงินไหลเข้าสู่กองทุน Money Market มากเป็นประวัติการณ์ แนะนำการลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้ KFSMART สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้น้อย หรือเลือกลงทุนในในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ อาทิ BGF US Dollar Reserve Fund A2 USD ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า 5% เงินฝากประจำ FCD ที่ให้ดอกเบี้ยสูงถึง 5.1% ต่อปี หุ้นกู้อนุพันธ์แฝง Bullish Sharkfin Note, Twinwin Note และ Offshore Fixed Income
ธีมที่ 2 มองว่า FED มีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในช่วง 1-3 ปี ข้างหน้า และคาดว่าจะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 1-2 ครั้งในปีนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับแนวโน้มดังกล่าว แนะนำการลงทุนใน PIMCO GIS Income Fund หรือ KF-CSINCOM ที่กระจายการลงทุนตราสารหนี้ทั่วโลกและมีผลการดำเนินงานที่ดีสม่ำเสมอ
ธีมที่ 3 ในกลุ่มของ Global Equity มองว่าหุ้นกลุ่ม Defensive น่าจะให้ผลตอบแทนดีกว่าตลาด หากเศรษฐกิจชะลอตัวในช่วงครึ่งปีหลัง แนะนำ BlackRock World Technology Fund A2 USD หรือ KFHTECH ที่ลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ที่มีผลการดำเนินงานและอัตราการเติบโตสูงกว่าตลาดหุ้นโดยรวม ขณะที่ตลาดหุ้นเวียดนาม ซึ่งมีการเติบโตสูงและมีโอกาสได้รับการยกระดับเป็น Emerging Markets ดังนั้นกระจายการลงทุนไปในตลาดเวียดนามผ่านกองทุนที่น่าสนใจ อาทิ Principal VNEQ เป็นโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดี
ธีมที่ 4 ลงทุนในกองทุน Private Equity เพื่อช่วยเพิ่มผลตอบแทนและลดความเสี่ยงพอร์ต เนื่องจากมีความผันผวนค่อนข้างต่ำ โดยแนะนำกองทุน KFGPE-UI บริหารจัดการโดย Schroders ที่มุ่งกระจายการลงทุนในหลายวัฏจักรธุรกิจของบริษัท
ธีมที่ 5 ลงทุนในกองทุน Private Credit อีกหนึ่งทางเลือกที่ช่วยเพิ่มผลตอบแทนและลดความเสี่ยงของพอร์ต โดยแนะนำกองทุน KFPCD-UI ที่บริหารจัดการโดย BlackRock
หุ้นเทคฯ-AI ยังได้ไปต่อ
ภาพรวมตลาดหุ้นโลกยังคงมีแนวโน้มการเติบโตที่ดี หากพิจารณาในรายภูมิภาคจะพบว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีความโดดเด่นเมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่น ซึ่งคาดการณ์ว่าหากนายโดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งในปลายปี 2567 นี้ ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐมีโอกาสแข็งค่าขึ้นจากนโยบายด้านการค้า ยิ่งส่งผลให้ตลาดมีโอกาสและความน่าสนใจ ขณะที่ตลาดหุ้นทางฝั่งยุโรปยังมีความน่าสนใจจากปัจจัยเรื่องนโยบายการปรับลดอัตราดอกเบี้ยและราคาหุ้นยังคงมีราคาถูก ส่วนตลาดญี่ปุ่น สถานการณ์ค่าเงินเยนที่อ่อนค่าลงจะเป็นตัวขับเคลื่อนภาพรวมของหุ้นญี่ปุ่น อย่างไรก็ตามหากค่าเงินเยนยังคงอ่อนค่าต่อเนื่องจะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นและความกังวลของนักลงทุน ขณะที่ตลาด Emerging Markets ภาพในปีนี้ปรับตัวดีขึ้น ซึ่งอาจจะต้องรอจังหวะที่ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงจะเป็นปัจจัยที่ช่วยสนับสนุนการเติบโตของตลาด
หุ้น Big Tech 5 ตัวแรก ได้แก่ MSFT, NVDA, AMZN, GOOGL และ META ได้รับการปรับประมาณการกำไรต่อหุ้น (EPS) เพิ่มขึ้นกว่า 38% สวนทางกับหุ้นอื่น ๆ ที่ถูกปรับลงที่ -5% ท่ามกลางกระแสการเติบโตอย่างต่อเนื่องของเทรนด์ AI มองว่าจะเริ่มขยับไปที่อุตสาหกรรมกลางน้ำและปลายน้ำมากขึ้น เช่น Cybersecurity หรือ Software
แนะนำกองทุน KFHTECH ที่บริหารจัดการโดย BlackRock สร้างพอร์ตแบบ Core & Opportunistic Holding คือ ลงทุนกลุ่ม Core 40-50% ขณะที่ลงทุนในกลุ่ม Opportunistic 50-60% ด้วยน้ำหนักที่น้อย แต่จะกระจายการลงทุนในหุ้นจำนวนมาก ให้ผลตอบแทนในระยะกลาง-ยาวที่ดีกว่า ผันผวนน้อยกว่า และผลตอบแทนสม่ำเสมอ และกองทุน KFGTECH ที่บริหารจัดการโดย T. Rowe Price ที่มีสไตล์การลงทุนแบบ Highly Active เปลี่ยนแปลงทุก 6 เดือน ซึ่งมีโอกาสทำกำไรได้มากกว่าในช่วงที่ตลาดขาขึ้น
หุ้นไทยมีลุ้นฟื้นตัว เตรียมลงทุนหุ้นเด่น “ส่งออก-ค้าปลีก-Data Center-เฮลธ์แคร์”
แม้ปัจจุบันตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวลง แต่เศรษฐกิจมีสัญญาณฟื้นตัว ทั้งสัญญาณการบริโภคของภาคครัวเรือนไทยที่ขยายตัวดีขึ้น ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวค่อย ๆ ฟื้นตัว จากตัวเลขของวิจัยกรุงศรีคาดการณ์ว่าปริมาณนักท่องเที่ยวต่างชาติจะเข้ามาในประเทศไทยอยู่ที่ 35.5-36 ล้านคนในปีนี้ โดยในช่วงครึ่งปีแรกมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาแล้ว 17.5 ล้านราย จึงเริ่มเห็นสัญญาณที่ดีขึ้น นอกจากนี้ ด้วยมาตรการขยายระยะเวลา Free VISA จะเป็นปัจจัยที่ช่วยผลักดันให้เศรษฐกิจช่วงครึ่งปีหลังกระเตื้องขึ้น ประกอบกับการเบิกจ่ายงบประมาณประจำปี 2024 ของภาครัฐเริ่มมีแนวโน้มเร่งขึ้น ถือเป็นสัญญาณบวกต่อตลาดการลงทุน โจทย์สำคัญคือ รัฐบาลจะต้องมีเสถียรภาพระดับหนึ่ง จึงต้องจับตาสถานการณ์การเมือง
หากสถานการณ์การเมืองในประเทศมีปัจจัยเสี่ยงลดลง รัฐบาลมีเสถียรภาพจะส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ 1,320-1,400 จุด แต่หากปัจจัยการเมืองในประเทศมีความผันผวนคาดว่าตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มจะลงไปแตะที่ฐาน 1,250-1,320 จุด
แนะนำหุ้นที่ควรมีติดไว้ในพอร์ตสำหรับช่วงครึ่งปีหลังนี้คือ กลุ่มอุตสาหกรรมส่งออก เช่น ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับ Data Center และกระแสของ 5G ธุรกิจค้าปลีก และเฮลธ์แคร์ แนะนำหุ้น Top Pick ในกลุ่มหุ้นขนาดใหญ่ ได้แก่ True, MINT, GFPT, TU, KCE, HANA, WHA, CPALL, OSP, MTC
ตรวจหวยงวดนี้ - ผลสลากกินแบ่งรัฐบาล งวดวันที่ 16 กรกฎาคม 2567 ลอตเตอรี่ 16/7/67
บทสรุปรางวัล โคปา อเมริกา 2024 นักเตะ-ชาติใด ได้รางวัลบ้าง
อุตุฯ เตือนฉบับ 8 กรุงเทพและ 56 จังหวัดฝนตกหนักถึงหนักมาก