บีทีเอส กรุ๊ปฯ เตรียมออกหุ้นกู้ 2 ชุด อายุ 2 ปี ดอกเบี้ย 4.30% ต่อปี และอายุ 5 ปี ดอกเบี้ย 4.80% ต่อปี
บีทีเอส กรุ๊ปฯ เตรียมออกหุ้นกู้ 2 ชุด อายุ 2 ปี ดอกเบี้ย 4.30% ต่อปี และอายุ 5 ปี ดอกเบี้ย 4.80% ต่อปี โดยคาดว่าจะเสนอขายระหว่าง 9 – 10 และ 13 มกราคม 2568
นางสาวชวดี รุ่งเรือง ผู้อำนวยการใหญ่สายการเงิน บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ “บีทีเอส กรุ๊ปฯ” เปิดเผยว่า บริษัทฯ อยู่ระหว่างการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวนต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.) เพื่อออกและเสนอขายหุ้นกู้ จำนวน 2 ชุด ให้แก่ผู้ลงทุนทั่วไป ประกอบด้วย
- หุ้นกู้ชุดที่ 1 อายุ 2 ปี อัตราดอกเบี้ย 4.30% ต่อปี
- หุ้นกู้ชุดที่ 2 อายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ย 4.80% ต่อปี
รอบนี้หนาวนาน! อุตุฯเตือนอากาศหนาว 17 -27 ธ.ค. ภาคใต้ฝนตกหนัก!
วันหยุดปีใหม่ 2568 เพิ่มวันหยุดพิเศษ วางแผนหยุดยาว 5 วันรวด
ข้อแตกต่าง ยาพาราเซตามอล และ ยาไอบูโพรเฟน แก้ปวดเหมือนกันแต่ใช้ต่างกัน!
จ่ายดอกเบี้ยทุก 6 เดือน ตลอดอายุหุ้นกู้ โดยคาดว่าจะเสนอขายระหว่างวันที่ 9-10 และ 13 มกราคม 2568 ผ่านสถาบันการเงินชั้นนำ 10 แห่ง
สำหรับหุ้นกู้ดังกล่าว ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือในกลุ่มระดับลงทุน (Investment Grade) ที่ “BBB+” แนวโน้ม “คงที่” (Stable) จากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2567 สะท้อนถึงสถานะทางธุรกิจและการเงินที่แข็งแกร่งจากการมีรายได้ค่าบริการที่สม่ำเสมอจากการให้บริการเดินรถไฟฟ้าและซ่อมบำรุง (Operation and Maintenance-O&M) ตามสัญญา ตลอดจนกระแสเงินสดรับจำนวนมากจากการลงทุนในสัดส่วน 33.33% ในกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานระบบขนส่งมวลชนทางรางบีทีเอสโกรท (BTSGIF) และการมีสถานะที่มั่นคงในธุรกิจโฆษณา
บีทีเอส กรุ๊ปฯ เป็นกลุ่มบริษัทที่ประกอบธุรกิจในหลากหลายอุตสาหกรรม ผ่านการดำเนินธุรกิจใน 3 แพลตฟอร์ม ได้แก่
1) แพลตฟอร์ม MOVE ผู้ให้บริการการเดินทางด้วยรูปแบบการคมนาคมขนส่ง
2) แพลตฟอร์ม MIX ผู้ให้บริการทางการตลาดในรูปแบบ Offline-to-Online
3) แพลตฟอร์ม MATCH สร้างโอกาสและความร่วมมือทางธุรกิจใหม่ๆ ผ่านการแบ่งปันแพลตฟอร์ม MOVE และ MIX ให้แก่กลุ่มบริษัทและพันธมิตรทางธุรกิจ
ล่าสุด บีทีเอส กรุ๊ปฯ ประกาศปรับโครงสร้างธุรกิจครั้งใหญ่ โดยเมื่อช่วงปลายเดือนตุลาคม 2567 บริษัทฯ สามารถระดมทุนผ่านการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุน (Right Offering: RO) จำนวน 13.2 พันล้านบาท และได้มีการจัดสรรเงินที่ระดมทุนได้จำนวน 13.2 พันล้านบาท ในการเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นใน RABBIT และ ROCTEC ผ่านการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์โดยสมัครใจ (Voluntary Tender Offer: VTO) จำนวน 7.1 พันล้านบาท ทำให้ทั้งสองบริษัทดังกล่าว กลายเป็นบริษัทย่อยของ บีทีเอส กรุ๊ปฯ โดยมีผลตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2567 เป็นต้นไป
ในส่วนของฐานะทางการเงิน บีทีเอส กรุ๊ปฯ มีเงินสดสุทธิจากกิจกรรมการดำเนินงาน ซึ่งบริษัทฯ รายงานกระแสเงินสดสุทธิจากกิจกรรมการดำเนินงาน จำนวน 22.8 พันล้านบาท (ข้อมูลสําหรับงวดหกเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2567) หลักๆ จากการได้รับชำระหนี้ E&M จาก กทม. รวมถึงยังได้รับเงินสนับสนุนงวดที่ 2 สำหรับการดำเนินงานรถไฟฟ้าสายสีเหลือง
นอกจากนั้น บริษัทฯ ยังคาดว่าจะได้รับชำระหนี้ค่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุง (O&M) ของโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายที่ 1 และ 2 (คดีฟ้องร้องครั้งที่ 1) จาก กทม.และบริษัท กรุงเทพธนาคม จํากัด (เคที) จำนวนประมาณ 14.5 พันล้านบาท ภายใน 180 วัน นับจากวันที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษา ซึ่งจะครบกำหนดภายในวันที่ 22 มกราคม 2568 การชำระหนี้ดังกล่าว พร้อมกับเงินที่เหลือจากการเพิ่มทุน (RO) จะช่วยเสริมฐานะทางการเงินของบริษัทฯ รวมถึงอัตราส่วนโครงสร้างทางการเงิน (Leverage ratio) จะปรับตัวดีขึ้นต่อไป
ทั้งนี้ บริษัทฯ อยู่ระหว่างการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวนต่อสำนักงาน ก.ล.ต. ซึ่งยังไม่มีผลใช้บังคับ สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่สนใจจองซื้อหุ้นกู้บีทีเอส กรุ๊ปฯ สามารถจองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาท และทวีคูณครั้งละ 100,000 บาท