ข่าวดังข้ามปี 2567 : "ราคาทอง" ร้อนแรงทุบสถิติ ตลอดปีพุ่งเฉียดหมื่นบาท
ย้อนดูราคาทองปี 2567 ทุบสถิติทำนิวไฮหลายรอบจนทะลุบาทละ 44,000 บาท วิเคราะห์ปีใหม่ 2568 กับโอกาสพุ่งแตะบาทละ 50,000 บาท ท่ามกลางความกังวลต่อเศรษฐกิจโลก
ปี 2567 ปีมังกรที่ราคาทองผันผวนที่สุด และนับว่าทุบสติถิทำนิวไฮหลายครั้งที่สุด ซึ่งถ้าย้อนดูความเคลื่อนไหวราคาทองตลอดทั้งปีที่ผ่านมาพบว่ามีเพียง 5 เดือนเท่านั้นที่ภาพรวมราคาทองถูกปรับลง ส่วนอีก 8 เดือนของปี 2567 พบว่าราคาทองบวกขึ้นแทบทุกเดือน
ภาพรวมตลอดทั้งปี 2567 ราคาทองทะยานขึ้นถึง 9,200 บาท สูงที่สุดในรอบ 5-6 ปี ที่อยู่ในช่วงขาขึ้นของสินทรัพย์ทองคำ

สรุปราคาทองที่เกิดขึ้นในแต่ละเดือน ดังนี้
- เดือนมกราคม ราคาทองเพิ่มขึ้น 550 บาท
- เดือนกุมภาพันธ์ ราคาทองเพิ่มขึ้น 400 บาท
- เดือนมีนาคม ราคาทองเพิ่มขึ้น 3,950 บาท
- เดือนเมษายน ราคาทองเพิ่มขึ้น 2,100 บาท
- เดือนพฤษภาคม ราคาทองเพิ่มขึ้น 150 บาท
- เดือนมิถุนายน ราคาทองปรับลด 300 บาท
- เดือนกรกฎาคม ราคาทองเพิ่มขึ้น 350 บาท
- เดือนสิงหาคม ราคาทองปรับลด 400 บาท
- เดือนกันยายน ราคาทองปรับลด 50 บาท
- เดือนตุลาคม ราคาทองเพิ่มขึ้น 3,950 บาท
- เดือนพฤศจิกายน ราคาทองลดลง 1,250 บาท
- เดือนธันวาคม ราคาทองลดลง 250 บาท (ณ วันที่ 17 ธ.ค.2567)
จะเห็นได้ว่า มีเพียง 5 เดือนเท่านั้นที่ภาพรวมราคาทองปรับลง ส่วน อีก 8 เดือนของปีนี้ ราคาทองบวกขึ้นแทบทุกเดือน ซึ่งตลอดทั้งปีราคาทองทะยานขึ้นถึง 9,200 บาท สูงที่สุดในรอบ 5-6 ปี ที่อยู่ในช่วงขาขึ้นของสินทรัพย์ทองคำ
และอย่างที่กล่าวไปทองทุบสถิตินิวไฮหลายครั้ง ทำให้ราคาที่สูงที่สุดของปีนี้เด้งทะลุ 44,550 บาทต่อบาททองคำ และต่ำสุด 33,400 บาทต่อบาททองคำ ความต้องการทองคำของคนไทยสูงที่สุดในอาเซียน
เตือน “โนโรไวรัส”ระบาดหลังพบปนเปื้อนน้ำในงานกีฬาสีโรงเรียนป่วยรวม 1,436 ราย
“เบี้ยผู้สูงอายุ 2568” เช็กวันโอนเข้าบัญชี และอัตราการจ่ายเบี้ยตามเกณฑ์อายุ
กองทัพ "หมูเด้ง" บุก! ลูกเล่นใหม่สุดน่ารักจาก Google

และด้วยราคาที่ร้อนแรง ผันผวนตลอดทั้งปี เซาไก ฟาน (Shaokai Fan) หัวหน้าภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (ไม่รวมประเทศจีน) และหัวหน้าธนาคารกลางระดับโลกของสภาทองคำโลก หรือ World Gold Council มีข้อมูลเกี่ยวกับความต้องการทองคำ (Gold Demand Trends) ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2567 พบว่า ประเทศไทย มีความต้องการทองคำของผู้บริโภค (Consumer Gold Demand) สูงที่สุดในกลุ่มประเทศอาเซียนและสูงสุดต่อเนื่องมาสองไตรมาส
โดยความต้องการพุ่งสูงขึ้น 11% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา คิดเป็นปริมาณ 14.5 ตัน ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2567 ขณะเดียวกันปริมาณความต้องการทั่วโลกก็ยังคงแข็งแกร่งต่อเนื่องโดยมีปริมาณความต้องการทองคำทั้งหมดจากทุกภาคส่วนเพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าอยู่ที่ระดับ 1,313 ตัน
ด้านความต้องการทองคำแท่งและเหรียญทองคำทั่วโลกได้ลดลง 9% แต่ความต้องการของประเทศไทยกลับสวนกับทิศทางในระดับโลกและเติบโตเพิ่มขึ้น 15% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยมีจำนวนอยู่ที่ 12.1 ตัน สำหรับในไตรมาสที่ 3 ของปี 2567 และนับเป็นประเทศที่มีความต้องการทองคำแท่งและเหรียญทองคำสูงเป็นอันดับที่สองในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยความต้องการทองคำแท่งและเหรียญทองคำทั่วโลกในปีนี้ยังคงอยู่ที่ระดับ 859 ตัน ซึ่งถือว่ายังคงเป็นระดับที่แข็งแกร่งเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ย 10 ปี ซึ่งอยู่ที่ปริมาณ 774 ตัน

ลุ้นปี 2568 มีโอกาสแตะ 50,000 บาท/บาททองคำ
ข้อมูลจาก บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (YLG) โดยนางพวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บอกว่า ช่วงเดือน พ.ค. 2567 ธนาคารกลางจีน (PBOC) ได้หยุดการซื้อสะสมทองคำเพื่อเป็นทุนสำรองระหว่างประเทศ หลังจากที่ซื้อติดต่อกันมาตั้งแต่ปี 2564 เป็นระยะเวลา 18 เดือน อย่างไรก็ดี ในช่วงที่ PBOC ได้หยุดทำการสะสมทองคำ จากนั้นราคาทองคำก็ยังปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง สามารถขึ้นไปทำจุดสูงสุดตลอดกาลที่ 2,790 ดอลลาร์สหรัฐ/ทรอยออนซ์
จนกระทั่งเดือน พ.ย.ที่ผ่านมา ราคาทองคำได้สลับมาปรับฐานลง ส่งผลให้ PBOC ได้กลับเข้ามาซื้อทองคำอีกครั้ง หลังจากหยุดพักไปเป็นเวลา 6 เดือน โดยเข้าซื้อที่จำนวน 1.6 แสนทรอยออนซ์ ส่งผลให้มีทองคำสะสมอยู่ที่ 72.96 ล้านทรอยออนซ์ อ้างอิงข้อมูลจากสภาทองคำโลก (WGC) ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่า PBOC ได้หยุดซื้อเมื่อราคาทองคำเริ่มปรับตัวขึ้นไปอยู่ในระดับสูง และกลับมาเข้าซื้อเมื่อราคาเริ่มปรับลดลงมา จึงคาดว่า PBOC ไม่ได้มีนโยบายหยุดซื้อทองคำเพียงแต่รอจังหวะที่เหมาะสม และนับเป็นการยอมรับในระดับราคาดังกล่าวแล้ว

อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า การเริ่มเข้าสะสมทองคำของธนาคารขนาดใหญ่ เช่น จีน อาจจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่จะทำให้ธนาคารกลางทั่วโลกอีกหลายแห่งดำเนินนโยบายตามรอย เนื่องจากการกระทำของ PBOC ครั้งนี้ อาจจะเป็นผลสืบเนื่องจากนโยบายกีดกันการค้าของโดนัลด์ ทรัมป์ ที่จะตอบโต้กลุ่มประเทศที่ต่อต้านเงินดอลลาร์สหรัฐ จึงเป็นผลให้ประเทศที่ตกเป็นเป้านโยบายต้องทำการเคลื่อนไหวเพื่อสะสมสินทรัพย์ปลอดภัย
“ดังนั้น การที่นักวิเคราะห์จากธนาคารชั้นนำหลายแห่ง ตั้งเป้าหมายว่าปี 2568 ทองคำจะยังคงพุ่งไปถึงเป้าหมาย 3,000 ดอลลาร์สหรัฐ/ทรอยออนซ์นั้น จึงยังคงเป็นไปได้ แม้ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ในระดับสูงก็ตาม"
ส่วนราคาทองคำในประเทศไทยนั้น YLG มองว่า ปี 2568 จะมีโอกาสไปถึง 50,000 บาท/บาททองคำตามเดิม เนื่องจากไทยเองก็เป็นหนึ่งในประเทศที่ได้ดุลการค้าสหรัฐฯ จึงตกเป็นประเทศเป้าหมายที่โดนัลด์ ทรัมป์ จะดำเนินการด้านนโยบายภาษีนำเข้า จึงอาจจะส่งผลให้ค่าเงินบาทของไทยปีหน้าเคลื่อนไหวไปในทิศทางอ่อนค่า และส่งผลดีต่อราคาทองคำในประเทศ ส่วนระยสั้นยังคงเป็นสถานการณ์ความวุ่นวายจากการก่อกบฏในซีเรีย
